ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 784 ไป๋เจ๋อแสดงพลังเป็นครั้งแรก และสำนักบำเพ็ญประจิมก็วางแผนการอีกครั้ง (3)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- บทที่ 784 ไป๋เจ๋อแสดงพลังเป็นครั้งแรก และสำนักบำเพ็ญประจิมก็วางแผนการอีกครั้ง (3)
บทที่ 784 ไป๋เจ๋อแสดงพลังเป็นครั้งแรก และสำนักบำเพ็ญประจิมก็วางแผนการอีกครั้ง (3)
หลี่ฉางโซ่วเกือบจะหน้าแดง…
ไท่อี่เจินเหรินสอนอะไรหลิงจูจื่อ!?
เอ่อ บางทีความคิดของข้าอาจจะซับซ้อนมากเกินไป…
บัดนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว
หลี่จิ้งอยู่ในสำนักตู้เซียนในขณะที่นาจาอยู่ในตำหนักที่พำนักเทพวารี ซึ่งหากเขาสามารถหาแม่นางหยินพบได้ในตอนนี้ เขาก็จะสามารถรวบรวมตัวละครหลักในฉาก “ด่านเฉินถัง” มาอยู่ด้วยกันทั้งหมดได้
นาจาเป็นผู้ทุ่มทุนสร้างและเป็นตัวเอกลิขิตชะตาเหตุการณ์นี้
อ๋าวปิ่งในเวลานี้ ยังไม่ใช่แม้แต่ไข่มังกรด้วยซ้ำ และมู่จากับจินจาก็ไม่มีบทบาทใดๆ ในเหตุการณ์นี้
แล้วข้าควรต้องสืบดูกำพืด ข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังทางด้านราชินีสือจีล่วงหน้าด้วยหรือไม่?
ในหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วมองไปยังแผนที่แห่งดินแดนเทวะทั้งห้าซึ่งอยู่ตรงหน้าเขา และจมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดเงียบๆ
เขากำลังทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กันในขณะที่กำลังคิดว่าจะกำกับละครเรื่องนี้อย่างไร
ในอีกด้านหนึ่งนั้น ในบรรดาทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ที่เฝ้าที่พำนักเทพวารี หลี่ฉางโซ่วได้มองหาแม่ทัพสวรรค์สองสามคนที่มีกลิ่นอายแห่งความเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าและมีรัศมีแห่งความทระนงองอาจหาญกล้า
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขอให้พวกเขาพูดคุยสื่อสารกับหลิงจูจื่อให้มากขึ้นในภายหลัง
หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ตระหนักได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการวางแผนเรื่องมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพนั้น คือการชั่งน้ำหนัก พิจารณาถึงแนวโน้มความเป็นไปของเต๋าสวรรค์ให้ชัดเจน
ดูนาจาเป็นตัวอย่าง
ในบทของมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพที่เต๋าสวรรค์กำหนดเอาไว้ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของนาจาและผลที่ตามมาต่อเนื่องกันซึ่งนาจาได้ประสบมานั้น ได้ส่งผลกระทบต่อมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพและเต๋าสวรรค์มากน้อยเพียงใด?
หากเขาวิเคราะห์มันให้ชัดเจน เขาย่อมจะสามารถกำหนดเป้าหมายได้…
โดยทั่วไปแล้ว มันต้องมั่นใจได้ว่าพลังการต่อสู้ของนาจานั้น เพียงพอเพื่อให้แน่ใจว่า นาจาจะกลายเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักประจำฝ่ายสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน
นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งระหว่างไท่อี่ และสือจี ซึ่งยังอาจกลายเป็นตัวจุดประกายที่จุดชนวนสงครามระหว่างสองสำนักบำเพ็ญเต๋าอีกด้วย…
จากการปฏิสัมพันธ์ติดต่อกับไท่อี่เจินเหรินเพียงสองสามครั้งเหล่านี้ หลี่ฉางโซ่วก็ไม่สงสัยในระดับการรับรู้ทางอุดมการณ์ในเรื่อง “ชิงโจมตีก่อนย่อมได้เปรียบ” รวมถึงระดับของทักษะเช่น “การตีฝีปาก” และ “การเสียดสีเยาะเย้ย” ของไท่อี่เจินเหรินอีกต่อไป
น่าเสียดายที่เขาจงใจกำหนดเป้าหมายไปที่ไท่อี่เจินเหรินไม่ได้
หลี่ฉางโซ่วรู้ว่าเขาไม่อาจยืนเคียงข้างสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานหรือสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้
เขาเป็นศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และเขาต้องยืนอยู่ในตำแหน่งที่ท่านอาจารย์ไทชิงต้องการให้เขาอยู่ในสำนักบำเพ็ญเต๋า
“สถานการณ์โดยรวม…”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็ลุกขึ้นยืนและเดินเงียบๆ ในหอโอสถอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย
ความคิดของเขาเคลื่อนไหวไปเล็กน้อย แต่ในอีกด้านหนึ่งของศาลสวรรค์ อ่าวอี่และเปี้ยนจวงก็ได้มาถึงตำหนักที่พำนักของเทพวารีแล้ว
ในขณะนั้นอ๋าวอี่กำลังยิ้ม แต่ในทางกลับกัน เปี้ยนจวงกลับรู้สึกหดหู่ใจและดวงตาของเขาก็แดงก่ำ แต่เขาก็ยังคงฝืนให้ตัวเองดูมีชีวิตชีวาและมีความสุข
พวกเขาทั้งสองมาถึงหน้าห้องทำงาน และเพียงขณะที่พวกเขากำลังจะโค้งคารวะทักทาย หลี่ฉางโซ่วก็ขยับนิ้วของเขาเบาๆ แล้วประตูก็เปิดออกกว้างและค่ายกลก็ปิดลง
“เข้ามา”
อ๋าวอี่และเปี้ยนจวงตอบสนองพร้อมกัน พวกเขาก้มศีรษะลงและก้าวเข้าสู่ห้องทำงาน จากนั้นพวกเขาก็ประสานมือและโค้งคารวะให้หลี่ฉางโซ่วที่อยู่ด้านหลังโต๊ะและเก้าอี้
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านได้พบปีศาจสาวที่เหมาะสมแล้ว”
อ๋าวอี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ว่าแต่ท่านอยากให้เปี้ยนจวงลงมือตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ?”
หลี่ฉางโซ่วถามว่า “เจ้ากำลังมองหาสาวคนใดกัน?”
“ที่มาจากเทพจันทรา” อ๋าวอี่กล่าว
“เป็นปีศาจใหญ่แห่งกรรมที่ชายแดนระหว่างดินแดนเทวะทักษิณและดินแดนเทวะประจิม เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญในขอบเขตเซียนเทียน
ข้าได้ตรวจสอบภูมิหลังของนางในหอหมื่นวิญญาณแล้ว นางยังเป็นลูกหลานของปีศาจใหญ่ในสมัยโบราณซึ่งในขณะนี้ก็ค่อนข้างมีอิทธิพลอยู่ในหมู่เผ่าปีศาจอีกด้วย
รูปปั้นดินเหนียวของปีศาจตัวนี้มักจะลากด้ายแดงแล้ววิ่งไปรอบๆ มันไม่มีที่อยู่ประจำที่แน่นอนและชอบไล่ตามเกี้ยวพาผู้คน
หากนางมีเรื่องเล่าสนทนาที่น่าสนใจเกี่ยวกับลม บุปผา หิมะ จันทรากับแม่ทัพสวรรค์ ก็คงไม่ทำให้ใครเกิดความสงสัย
ส่วนที่เหลืออื่นๆ นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของรองผู้บัญชาการเปี้ยนจวง”
ขาของเปี้ยนจวงสั่นเทาทันที เขายิ้มขื่นและกล่าวว่า “แม่ทัพอย่างข้าจะถูกบดขยี้ทำลายร่าง กระดูกแหลกสลายเป็นชิ้นๆ จนตายอย่างโหดร้ายทารุณน่าสยดสยองที่สุดก็หาเป็นอันใดไม่ ต่อให้ต้องตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ข้าก็จะไม่ปฏิเสธเลย
ทว่าใต้เท้าเทพวารี… แม่ทัพอย่างข้ายังบริสุทธิ์…”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า“ข้าเพียงขอให้เจ้าแสดงความเมตตาในความฝันของเจ้าเท่านั้น แต่ไม่ได้ขอให้เจ้าต้องเสียสละตัวเอง
แล้วเจ้าประหวั่นอันใด?”
“ขอรับ ข้าผู้เป็นแม่ทัพ รับบัญชา”
บัดนั้นอ๋าวอี่แสร้งทำเป็นแปลกใจและกล่าวว่า “รองผู้บัญชาการเปี้ยน ท่านบริสุทธิ์จริงๆ หรือ?”
เปี้ยนจวงมีสีหน้าสิ้นหวังทันที
“เอาล่ะ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ให้ตำหนักครองคู่ช่วยเหลือเจ้าในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หากมันไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร
ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าลงไปสู่โลกมนุษย์ ข้าเพียงขอให้เจ้าไปพบกับปีศาจสาวในฝันผ่านทางหอเสิ่นเว่ย…
จงจำไว้ว่าเราจะใช้เรื่องนี้เพื่อประกาศให้โลกภายนอกรู้ว่า ศาลสวรรค์ไม่ใช่หุ่นเชิดที่ถูกเต๋าสวรรค์ควบคุมเอาไว้
แม่ทัพสวรรค์ก็มีความรู้สึกที่แท้จริงและเป็นสัตว์มีเลือดเนื้อ เราไม่ได้ขอให้เจ้าไปตกหลุมรักนางปีศาจสาวจริงๆ โดยเฉพาะกับปีศาจใหญ่แห่งกรรม”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!”
เปี้ยนจวงตอบกลับเสียงดังฟังชัด แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
ประสบการณ์ความรักครั้งแรกของเขา จะเป็นถึงกระนั้นเชียวหรือ…
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “พวกเจ้ารอสักครู่ ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องทำอีกที่หนึ่ง”
กล่าวจบ เขาก็หลับตาทำสมาธิ นิ่งดุจรูปปั้น
บนยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วเดินออกจากหอโอสถ และมองไปที่ “แสงอรุณรุ่ง” เบาบางที่ลอยอยู่เหนือยอดเขาเฮยฉือ จากนั้นเขาก็ใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ “ร่างหลัก” เพื่อขี่เมฆพุ่งไปทันที
………………………………………………………………..