ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 806 จะสู้ศึกครั้งนี้อย่างไร (3)
บทที่ 806 จะสู้ศึกครั้งนี้อย่างไร (3)
“อืม…”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้เขาจะอยากพูดอะไรบางอย่างเช่น การหนุนตักจริงๆ แต่หนังหน้าของเขาก็ไม่ได้หนาขนาดนั้น
ความยับยั้งชั่งใจในระดับพอควรถือเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นเป็นเลิศที่ศิษย์ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนควรมี
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “ช่างเถิด ข้ายังไม่กล้ายั่วแหย่เจ้า”
อวิ๋นเซียวมองไปที่ทะเลสาบที่ส่องประกายระยิบระยับข้างๆ แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจะไม่ตีเจ้าด้วยถังทองคำหรอก”
“ช่างเถิด หากเราต่อสู้กัน เรายังต้องใช้ถังทองฮุ่นหยวน!”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วอย่างจงใจ ส่วนอวิ๋นเซียวก็รู้สึกขบขันมากจนเม้มริมฝีปากแล้วหัวเราะเบาๆ พร้อมด้วยดวงตาที่ฉายแววดุเล็กน้อย
“ไม่ล้อเล่นแล้ว” หลี่ฉางโซ้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้ามาที่นี่เพราะเรื่องไป๋เจ๋อและลู่หยา และเจ้าก็กังวลว่า ข้าจะถูกพวกเผ่าปีศาจวางแผนทำร้ายใช่หรือไม่?”
“ใช่” อวิ๋นเซียวพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “จะไว้ใจไป๋เจ๋อได้หรือ?”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ข้ายังคงเฝ้าสังเกตดูอยู่ แต่ในเวลานี้ ท่านไป๋ก็ได้รับความไว้วางใจจากข้าถึงสามในสิบส่วนแล้ว”
“ในอดีตนั้น เขาเป็นผู้บัญชาการเผ่าปีศาจ เขาเป็นคนฉลาดรอบรู้อย่างไม่มีผู้ใดเทียบได้ ซึ่งเขาก็ได้ต่อสู้กับปรมาจารย์ปีศาจคุนเผิงในตอนนั้น และพลังเวทในการหยั่งรู้ภัยพิบัติของเขาก็ทรงพลังยิ่งเช่นกัน” อวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ ว่า “แล้วเขาจะไม่มาเข้าร่วมกับเจ้าโดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน”
“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังช้าๆ เรื่องมันยาว”
หลี่ฉางโซ่วเอามือไพล่หลัง และประณามลู่หยาสู่สวรรค์ เขาได้พูดถึงวิธีที่เขาและศิษย์พี่ของเขาจับไป๋เจ๋อได้ และไป๋เจ๋อให้หลักการ ‘แสวงโชคและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ’ แก่เขาอย่างไร
อวิ๋นเซียวคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนและคิดอย่างรอบคอบ แล้วกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ ก็มีความน่าเชื่อถือเจ็ดถึงแปดส่วน”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ว่าเป็นเพราะไป๋เจ๋อต้องการเข้าสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ
หรือเพราะเขามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นในโลก ในเวลานี้ ปราณวิญญาณของเขาก็ถูกศิษย์พี่เสวียนตูควบคุมเอาไว้
สำหรับสัตว์มงคล ไป๋เจ๋อ ตัวนี้ เราไม่อาจใช้ความคิดของมนุษย์ตัดสินความสัมพันธ์ของเขากับเผ่าปีศาจได้ ไป๋เจ๋ออาจอยู่ในระดับที่สูงกว่า
ข้ารู้สึกได้ว่า เขามีความเห็นอกเห็นใจต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล บางที นี่อาจเป็นเหตุผลว่า เหตุใดเขาถึงได้รับการระบุรายชื่อให้เป็นสัตว์มงคลจากเต๋าสวรรค์”
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ข้าก็จะไม่กังวลอีกต่อไป” อวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ ว่า “จากที่เจ้าเพิ่งพูด ไปเมื่อครู่นี้ ข้ากลับรู้สึกว่า ไป๋เจ๋อน่าสงสารทีเดียวหลังจากที่ถูกเจ้าทรมาน”
หลี่ฉางโซ่วยักไหล่และกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถในการคิดอุบาย วางแผนกลยุทธ์
หากข้าไม่ระมัดระวังและตัดไฟแต่ต้นลมก่อน แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่รอดได้นานพอจนสามารถยืนเคียงข้างกับเจ้าได้อย่างไร?”
อวิ๋นเซียวเอียงศีรษะเล็กน้อย นางมองใบหน้าของหลี่ฉางโซ่ว และกล่าวอย่างจริงจังว่า “เวลานี้ เจ้าและข้าก็กำลังเดินเคียงข้างกันไม่ใช่หรือ?”
“นี่…
มันเป็นเพียงความเย่อหยิ่งเล็กน้อยที่ผู้ชายมักมีกัน เจ้าอย่าใส่ใจเลย”
หลี่ฉางโซ่วผายมือทำท่าเชื้อเชิญ แล้วกล่าวว่า “อย่างแรกคือ ข้ากังวลว่า ไป๋เจ๋อจะวางแผนทำร้ายข้า อย่างที่สองก็คือ เป็นเพราะลู่หยามีสมบัติเวทที่ทรงพลังที่ศาลปีศาจทิ้งเอาไว้อยู่ในมือของเขาหรือไม่?”
“หือ? สมบัติเวททรงพลังเยี่ยงใดกัน?”
อวิ๋นเซียวส่ายศีรษะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเพิ่งได้ยินมาว่า เจ้าต่อสู้กับองค์ชายปีศาจ ข้าห่วงว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บและยังคงยืนหยัดเพื่อสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ข้าจึงมาดูที่นี่เพื่อให้สบายใจ”
“เจ้าและข้าได้เข้าสู่ขอบเขตอุ่นรักจริงๆ” ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเผยให้เห็นว่าเขารู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อย
อวิ๋นเซียวเปลี่ยนเรื่องว่า “ในขณะเดียวกัน ข้าเองก็อยากจะดูว่าภายนอกกับภายในของเจ้าจะเหมือนกันหรือไม่
น้องสามมักกล่าวว่า มนุษย์บุรุษมีอารมณ์อ่อนไหวมากที่สุดและน้อยคนนักที่จะไว้ใจได้
นี่เป็นผลกระทบจากเต๋าเจริญพันธุ์ เมื่อพบหลิงเอ๋อร์ ข้าก็รู้สึกโล่งใจ”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก หน้าผากของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเส้นสายสีดำ
จากนั้น เขาก็เรียกออกมาเบาๆ “อวิ๋นเซียว”
“หือ?”
หลี่ฉางโซ่วกดสองฝ่ามือของเขาลงบนไหล่ซ้ายและขวาของอวิ๋นเซียว อวิ๋นเซียวตื่นตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อนางเห็นสีหน้าจริงจังของหลี่ฉางโซ่ว นางก็ไม่ได้พยายามจะแยกตัวออกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรคิดถึง ไม่เช่นนั้น ข้าจะรู้สึกผิด หัวใจมนุษย์ของข้าทำให้หัวใจเต๋าอันบริสุทธิ์ของเจ้าต้องมัวหมองหรือไม่?”
“มีหรือไม่?”
เทพธิดาอวิ๋นเซียวกะพริบตา ดวงตาของนางฉายแววไม่สบายใจเล็กน้อย
นางกล่าวกระซิบเบาๆ ว่า “นี่คือเต๋าใหญ่ หัวใจเต๋าของข้าก็ยังไม่ได้บริสุทธิ์ไร้ที่ติจากโลกมนุษย์ ไม่เช่นนั้น…”
หลี่ฉางโซ่วถอนมือของเขาอย่างสงบและถอนหายใจเบาๆ
“ข้าจะไม่ล้างมือ!” ในที่สุด อวิ๋นเซียวก็ตอบสนองในเวลานี้ และใบหน้างดงามของนางก็ขึ้นสีก่ำไปทั่ว
“เหอะ! เจ้านี่ลวดลายมากจริงๆ! ข้าจะกลับก่อน!”
“ข้าเพียงล้อเล่นน่า ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ไยไม่กินอาหารก่อนออกเดินทางด้วย” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างเร่งรีบ “นอกจากนี้ เทพธิดา เจ้าคิดอย่างไรกับการจัดวางผังของยอดเขาหยกน้อยแห่งนี้?”
“หือ? ข้าไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ…
ดินชีวิตเก้าสวรรค์? ค่ายกลเปลี่ยนฟ้าห้าธาตุ? ค่ายกลปีศาจสายฟ้าโกลาหล?
นี่…”
อวิ๋นเซียวขมวดคิ้วพลางมองดูใบหน้าที่ภาคภูมิใจเล็กน้อยของหลี่ฉางโซ่ว และอดจะเอานิ้วเรียวยาวของนางก่ายหน้าผากไม่ได้
“เจ้าจริงจังหรือ? ความจริงแล้ว บนยอดเขานี้ มีค่ายกลใหญ่มากมายยิ่งกว่าบนเกาะซานเซียนของข้าหลายเท่า
แล้วเจ้ากลัวอันใดกัน?
หากมีศัตรูที่แข็งแกร่งคนใดที่เจ้าไม่อาจจัดการรับมือได้ ข้าก็ยังช่วยเจ้าได้ ”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะพลางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเพียงกำลังเตรียมพร้อม”
เขาหยุดไปชั่วขณะแล้วหันไปมองกระท่อมมุงจาก หลิงเอ๋อร์ขี่เมฆมาถึงแล้ว
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “หากไม่เป็นเพราะการจัดเตรียมการที่นี่ ร่างหลักของข้าก็ต้องเสียสมาธิและกังวลกับเรื่องต่างๆ ที่บ้าน แม้ข้าจะออกไปข้างนอกก็ตาม”
ที่บ้าน…
ดวงตางดงามของอวิ๋นเซียวฉายแววเข้าใจชัดเจนเล็กน้อยวาบออกมา และนางก็กล่าวเบาๆ ว่า “หลิงเอ๋อร์สวยน่ารักมากจริงๆ
หากนางว่าง ข้าก็อยากพานางไปพำนักอยู่ที่เกาะซานเซียนสักพักหนึ่งจริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังของถ้อยคำเหล่านั้น
ดูเหมือนว่า จะมีการเล่นจิตวิทยาเล็กน้อยเกิดขึ้นที่นี่ และระดับชั้นก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง…
………………………………………………………………..