ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 823 ชื่นชมให้รางวัล ตำหนิให้ลงโทษอย่างยุติธรรมกระจ่างแจ้ง (2)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- บทที่ 823 ชื่นชมให้รางวัล ตำหนิให้ลงโทษอย่างยุติธรรมกระจ่างแจ้ง (2)
บทที่ 823 ชื่นชมให้รางวัล ตำหนิให้ลงโทษอย่างยุติธรรมกระจ่างแจ้ง (2)
ที่ริมสระน้ำ ไป๋เจ๋อมองไปที่หลี่ฉางโซ่วอย่างเย้ยๆ เล็กน้อยพลางยิ้มอย่างแฝงนัยและหัวเราะเบาๆ
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “เพียงแค่ว่าโดยปกติแล้ว ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ และนางก็ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้บนภูเขา และเมื่อจะใช้ นางก็ไม่ได้ขาดแคลนมันเลย”
“ข้าพอเข้าใจเล็กน้อย เล็กน้อย”
ทว่าก็ตาม ผลการทำงานในเวลาต่อมาของหลิงเอ๋อร์ ก็ทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกพึงพอใจ
เมื่อกำลังจะไปถึงสถานที่ฝึกฝนแห่งแรก นางก็วิ่งไปที่เมืองใกล้เคียงอีกครั้ง คราวนี้ นางมั่นใจขึ้นมาก
หลังจากเที่ยวเดินซื้อของไปทั่วเมืองเป็นเวลาครึ่งวัน หลิงเอ๋อร์ก็ได้เลือกสมบัติอมตะราคาแพงสองชิ้นให้กับท่านอาจารย์ของนาง ฉีหยวน
นางซื้อผ้าจำนวนมากและเตรียมพร้อมสำหรับสถานที่ทดสอบที่นางกำลังจะไปต่อไป
นางซื้อยาแก้หิวเพื่อช่วยตอบสนองความหิวของนาง และโอสถทิพย์คุณภาพระดับต่ำกว่าจำนวนมากที่มนุษย์สามารถใช้ได้
สถานการณ์นี้คล้ายกับผู้อาวุโสของสำนักเล็กๆ ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ที่ออกไปจับจ่ายซื้อของให้สำนัก…
เมื่อหลิงเอ๋อร์ออกจากเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกวางแผนทำร้าย นางจึงเลือกใช้กลยุทธ์แปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริงจากจริงเป็นลวงเพื่อสร้างความสับสนด้วยการปลอมตัว และปกปิดร่างหลักของนางเอาไว้ในแขนเสื้อของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ชราแทน
ครั้นเมื่อตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ชราออกจากเมืองแล้ว ร่างหลักของนางก็แยกออกมาอย่างเงียบๆ
ในที่สุด ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็ไม่ได้ถูกปล้น และหลิงเอ๋อร์ก็ฝังมันเอาไว้ในป่าใกล้เมืองเพื่อใช้ต่อไปในภายหน้า
ไป๋เจ๋อประหลาดใจ แต่หลี่ฉางโซ่วกลับยิ้มเล็กน้อย
มันเหมือนกับการกระทำของเขาในกาลก่อนนั้นเล็กน้อย
จนเมื่อหลิงเอ๋อร์ขี่เมฆมาถึงใกล้ชายแดนของดินแดนเทวะทักษิณ…
หลี่ฉางโซ่วถามว่า “ท่านไป๋ ท่านคิดว่าตอนนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจสามารถอยู่ร่วมกันได้หรือไม่?”
“ไฉนจู่ๆ ท่านถึงถามเช่นนั้นเล่า เทพวารี?”
ไป๋เจ๋อโบกพัดขนนกพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เว้นแต่โลกนี้จะเหลือเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจจะสูญพันธุ์ไปได้อย่างไร? แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกัน แต่พวกเขาก็อยู่ร่วมกันได้”
หลี่ฉางโซ่วถามอีกครั้งว่า “การดำรงอยู่ของเต๋าสวรรค์จะทำให้โลกมีเสถียรภาพมั่นคงมากยิ่งขึ้นจริงหรือ?”
“เทพวารี ท่านคิดว่าเต๋าสวรรค์จงใจลดความแข็งแกร่งโดยรวมของสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ลงอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ
“เมื่อไม่นานมานี้ ข้าเพิ่งเข้าใจเต๋าใหญ่ และจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หากเต๋าสวรรค์จำแนกรูปแบบสิ่งมีชัวิตโฮ่วเทียน แล้วมันจะถูกตัดสินแน่นอนอย่างไรกัน?”
ไป๋เจ๋อครุ่นคิดสักพักแล้วตอบว่า “เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ เผ่าเวท เผ่ามังกร และวิญญาณ?”
“ท่านผิดแล้ว” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “มันจะแบ่งออกเป็นมนุษย์ เซียน วิญญาณ ปีศาจ อสูร และผี”
“โอ้?” ไป๋เจ๋อก้มศีรษะลงใคร่ครวญ
เขาบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้แล้วเผยสีหน้างุนงง และหน้าผากของเขาก็ค่อยๆ เริ่มมีเหงื่อผุดออกมา จากนั้นไม่นาน ไป๋เจ๋อก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้เขา
“โปรดชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยเถิด”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบามาก “นี่คือ ข้อสรุปที่ข้าได้รับเมื่อข้าเข้าใจเต๋าของข้าในช่วงสองปีที่ผ่านมา และสอดคล้องกับเต๋าสวรรค์
ทุกวันนี้ บนโลกนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์มีข้อได้เปรียบอย่างแน่นอน เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่แยกเป็นประเภทหนึ่ง และสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมดก็ล้วนรวมอยู่ในประเภทวิญญาณ เช่น เผ่ามังกร เผ่าหงส์ เผ่าเวท และเผ่าปีศาจ
หากมนุษย์และวิญญาณฝึกบำเพ็ญเต๋าและธำรงไว้ในวิถีแห่งธรรม พวกเขาก็จะกลายเป็นเซียน
บรรดาผู้เป็นเซียน สามารถเป็นเซียนมนุษย์ได้ แต่ก็สามารถเป็นเซียนจิ้งจอก เซียนวัว เซียนมังกร เซียนพฤกษา และอื่นๆ ได้
หากธรรมชาติของมนุษย์นั้นไร้ธรรมและชั่วร้าย เป็นพวกที่บิดเบือนศีลธรรมและเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นก็คือ อสูร
หากผู้ใดมีทักษะทางวิญญาณที่ไร้ธรรม และเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจไม่เลือกหน้า เขาก็คือปีศาจ
และไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องผี พวกมันก็คือ พวกมนุษย์และเหล่าวิญญาณ หลังจากที่พวกเขาตายไปแล้ว
แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรกับแนวทางนี้ ท่านไป๋?”
ไป๋เจ๋อก้มศีรษะลงและครุ่นคิดอยู่และไม่เอ่ยอะไรออกมาเป็นเวลานาน
ชั่วเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วก็รออยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ และมองดูศิษย์น้องหญิงของเขากำลังเร่งรีบ ในสระน้ำ
สิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจได้อย่างแท้จริงเมื่อเขารู้แจ้งในเต๋า
หรือบางที มันอาจเป็นคำใบ้ที่เต๋าสวรรค์มอบให้เขาเพื่อชี้แนะแนวทางให้แก่เขาผู้เป็นเสนาบดีที่มีอำนาจในศาลสวรรค์ ซึ่งเขาน่าจะชี้นำศาลสวรรค์ให้ดำเนินการไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้
แม่ทัพตงมู่รู้สึกขุ่นเคืองอีกครั้ง
คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่เพียงต้องการให้หลิงเอ๋อร์ไปที่เมืองโบราณเฉินถังเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์เท่านั้น แต่นอกจากนี้เขายังอยากให้หลิงเอ๋อร์ไป “ตรวจสอบและศึกษาค้นคว้า” ที่นั่นแทนเขาอีกด้วย
คำพูดของหลี่ฉางโซ่วในตอนนี้คือ การกำหนดกฎเกณฑ์ของโลกในภายภาคหน้า
มันเป็นการสร้างมาตรฐานสำหรับโลกบรรพกาล และหลุดพ้นจากเงามืดแห่งยุคโบราณอย่างสมบูรณ์
ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก็คือ การแยกผู้เป็นเซียนและมนุษย์ออกจากกัน
เมืองโบราณเฉินถังมีมายาวนานแล้ว แม้กล่าวกันว่า มันเป็นเมืองโบราณ แต่จริงๆ แล้ว มันคือเมืองที่เป็นป้อมปราการใหญ่
แล้วเหตุใดหลี่ฉางโซ่วถึงให้หลิงเอ๋อร์ไปฝึกฝนที่นั่น?
เรื่องนี้มันยาว แต่ทำได้เพียงสรุปมันสั้นๆ เลยเท่านั้น
มีเหล่าปีศาจอาศัยอยู่ในรอยแยกระหว่างดินแดน มันฟังดูน่าสงสารเล็กน้อยสำหรับพวกมัน แต่เนื่องจากโลกบรรพกาลนั้นกว้างใหญ่เกินไป รอยแยกเหล่านี้จึงเป็นภูเขาที่ต่อเนื่องกันหรือป่าทึบที่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด
สำหรับพวกมนุษย์แล้ว สิ่งเหล่านั้นยากจะข้ามผ่านไปได้ แต่มันก็ยังเป็นสวรรค์สำหรับพวกปีศาจที่จะสามารถขยายพันธุ์เจริญเติบโตต่อไปได้
เมืองโบราณเฉินถังเป็นแนวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยังคงขัดแย้งกับเผ่าปีศาจปะทุออกมาอยู่ตลอดเวลา มันยังถูกโดดเดี่ยวและไร้การสนับสนุนช่วยเหลือใดๆ มาเป็นเวลานาน
นับตั้งแต่พระเจ้าอวี่ผู้ยิ่งใหญ่สละโลกและกลับไปที่ถ้ำเมฆไฟ บัลลังก์ของจ้าวผู้ปกครองของโลกก็สามารถสืบทอดได้นานเป็นเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งพันปีเท่านั้น
จากนั้นอำนาจแห่งจักรวรรดิก็สูญหายไป และดินแดนเทวะทักษิณก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายซึ่งกินเวลานานนับหมื่นปี
ด้วยการผงาดขึ้นของสำนักบำเพ็ญเต๋า พลังอำนาจของ “สำนักเซียน” ก็เริ่มเพิ่มขึ้น
จำนวนมนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วมาก และมีมนุษย์ที่ไร้คุณสมบัติในการฝึกบำเพ็ญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
จากนั้นโลกมนุษย์ก็ค่อยๆ ขาดความเหมาะสมสำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญที่จะบำเพ็ญเพียร ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างเซียนและมนุษย์ขึ้นทีละน้อย
ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนเทวะมัชฌิมาและโลกมนุษย์ก็ยังคงเป็นดั่งหมื่นเส้นด้ายพันเส้นไหม
ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักเซียนก็มาจากโลกมนุษย์
………………………………………………………………..