ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 846 เจ้าไล่ข้า เจ้าไล่ข้า...(1)
บทที่ 846 เจ้าไล่ข้า เจ้าไล่ข้า…(1)
บนขอบฟ้า ควันดำที่เต็มบนท้องฟ้าถูกสลายหายไปด้วยลำแสงสีทอง
ไท่อี่เจินเหรินถอนหายใจ และกล่าวว่า “ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าปีศาจตัวนี้ตายตาไม่หลับ?”
มีร่างสองสามร่างบินมาจากระยะไกล และนักพรตเต๋าตั๋วเป่าก็จับชายหนุ่มที่ห่อหุ้มปีศาจสวรรค์เอาไว้ในฝ่ามือของเขา
และด้วยการสะบัดฝ่ามือเล็กน้อย ร่างของชายหนุ่มตนนั้นก็กลายเป็นฝุ่นทรายกำมือหนึ่ง กระจัดกระจายไปในโลกใบนี้
จ้าวกงหมิงกล่าวว่า “เด็กหนุ่มคนนั้นไม่สามารถช่วยชีวิตให้รอดพ้นได้ วิญญาณของเขาถูกปีศาจกินไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าปีศาจตัวนี้จะไม่ได้มาถึงที่นี่ในครั้งนี้ ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ และจ้องมองไปที่ฝุ่นทรายที่กำลังส่องประกายแสงระยิบระยับด้วยสีทองอ่อนๆ แล้วจมอยู่กับความคิดเล็กน้อย
แม้ปีศาจนอกอาณาเขตที่ซ่อนตัวมากที่สุดจะถูกบีบบังคับให้ปรากฏตัวออกมา ทว่าการสวดมนต์ก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่งภายใต้การยืนกรานของหลี่ฉางโซ่ว
เมื่อบรรดาผู้เป็นเซียนทั้งหลายคนมาพบกันอีกครั้ง นักพรตเต๋าตั๋วเป่าก็กล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจ
“เวลานี้ มันน่าจะไปแล้ว ”
ทุกคนล้วนมองไปที่หลี่ฉางโซ่วในขณะที่หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญอยู่สักพักและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจแน่ใจได้ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ”
ไท่อี่เจินเหรินดุอย่างติดตลกว่า “เจ้าอยากปรับแต่งโลกใบเล็กนี้อีกครั้งหรือ? ทุกอย่างได้รับการดูแลแล้ว มีอะไรผิดปกติอีกหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มเล็กน้อยให้ไท่อี่เจินเหริน
เต๋าที่มั่นคงไร้ที่สิ้นสุด
“ฉางเกิง เจ้าจัดการเรื่องที่เหลือต่อไปได้เลย” นักพรตเต๋าตั๋วเป่ายิ้มแย้มและออกคำสั่ง ซึ่งทำให้หลี่ฉางโซ่วได้มีทางเลือก
บัดนี้เรื่องต่างๆ ได้รับการแก้ไขแล้ว ปีศาจที่ควรกำจัดก็สามารถกำจัดออกไปได้แล้ว และลาที่สมควรถูกฆ่าก็ถูกฆ่าแล้ว
“ขอบคุณศิษย์พี่ตั๋วเป่าขอรับ” หลี่ฉางโซ่วประสานมือและโค้งคำนับให้ จากนั้นเขาก็มองไปที่ผู้คนและสัตว์ร้ายจากสำนักบำเพ็ญประจิมที่อยู่ด้านข้าง
หัวใจเต๋าของตี้จั้งตึงแน่นขึ้น และตี้ทิงก็กระชับขาของมันแน่นแล้วมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็แย้มยิ้มและประสานมือคารวะให้ตี้จั้ง และกล่าวว่า “ครั้งนี้ ตี้ทิงมีบทบาทมากในการกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ของพวกปีศาจออกไปได้
ดังคำกล่าวที่ว่าผู้เก่งกาจย่อมต้องทำงานหนักมากกว่าผู้อื่น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดไม่ให้ตี้ทิงอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักพักเล่า?”
ตี้จั้งยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เทพวารีกล่าวได้มีเหตุผลเช่นกัน”
ไท่อี่เจินเหรินกอดอกวางมือซ้อนทับเอาไว้ในแขนเสื้อ แล้วมองตี้ทิง
จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าของที่แท้จริงยังไม่เอ่ยปาก แล้วเจ้าจะรับคำได้อย่างไรกัน?”
แม้ตี้จั้งจะเตรียมพร้อมเพียงพอเพื่อรับมือกับการเสียดสีของไท่อี่เจินเหริน แต่ในเวลานี้ เขาก็ยังอดจะมีใบหน้ามืดทะมึน และรู้สึกไม่พอใจไม่ได้
ในขณะนั้น จ้าวกงหมิงและนักพรตเต๋าตั๋วเป่าที่อยู่ด้านข้างต่างก็ยิ้มและหรี่ตาลง
เวลานี้ เป็นหลี่ฉางโซ่วที่ได้ช่วยแก้ไขให้ตี้จั้งบรรเทาความลำบากอึดอัดใจ
หลี่ฉางโซ่วเปลี่ยนหัวข้อทันทีว่า “ศิษย์พี่ทุกท่าน เรายังควรไปดูที่เมืองเสวียนตูหรือไม่? ข้าไม่รู้ว่าสถานการณ์สงครามที่นั่นเสถียรแล้วหรือไม่”
“ไม่”
นักพรตเต๋าตั๋วเป่าปฏิเสธ และกล่าวอย่างจริงจังว่า “หากศิษย์พี่เสวียนตูไม่ได้ขอความช่วยเหลือ เราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่นั่นได้ง่ายๆ
นี่เป็นกฎที่เมืองเสวียนตูได้กำหนดเอาไว้ในสมัยโบราณ พลังเวทของปีศาจนอกอาณาเขตนั้นลึกลับและไม่อาจคาดเดาได้
ดังนั้น หากเราบุ่มบ่ามไปที่นั่น บางทีเราก็อาจทำให้พวกมันฉวยโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากมัน ให้เอาเปรียบเขาได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็อดจะรู้สึกงุนงงเล็กน้อยไม่ได้
เทพธิดาอวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ ว่า “สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว เหล่าปรมาจารย์ได้ตัดสินใจรีบไปช่วยเหลือเมืองเสวียนตูด้วยตนเอง
พวกเขาได้ถูกปีศาจสวรรค์เอาเปรียบ และยังก่อให้เกิดสงครามใหญ่ในเมืองจนเป็นเหตุให้แนวป้องกันของเมืองเสวียนตูเกือบจะพังทลายลง
ขณะนี้ ทหารเต๋าส่วนใหญ่ในเมืองเสวียนตูได้ถูกสร้างขึ้นจากพลังเวท ซึ่งเป็นเพราะเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและพยักหน้า บัดนี้เขาได้ล้มเลิกความคิดที่จะให้โหย่วฉินเสวียนหย่ามา ‘เลื่อมทอง[1]’ ที่นี่แล้ว และถามเทพธิดาอวิ๋นเซียวเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกสองสามคำถาม
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าตั๋วเป่าได้เปิดหลุม และบรรดาเซียนทั้งหลายก็บินเข้าไปในนั้นทีละคน และกลับคืนสู่ดินแดนเทวะทั้งห้า
หลังจากที่หลุมถูกปิดแล้ว ตี้จั้งก็ก้มศีรษะลงมองดูตี้ทิงที่อยู่ด้านล่าง แล้วเส้นเลือดดำก็ค่อยๆ ปูดโปนออกมาบนหน้าผากของเขา
ร่างสง่างามของตี้ทิงสั่นเทา และเขาก็รีบกล่าวในใจอย่างรวดเร็วว่า
“นายท่าน พวกเรา ทั้งท่านและข้า ล้วนอยู่ภายใต้ชายคาของเทพวารี ย่อมไม่อาจไม่ก้มหัวได้[2]”
“โอ้? เป็นเช่นนั้นหรือ?”
ตี้จั้งกระโดดลงจากหลังของตี้ทิงอย่างเงียบๆ แล้วหยิบไม้ฟาดพิฆาตปีศาจและผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วเช็ดมันเบาๆ
ตี้ทิงถอยไปครึ่งก้าว
“นายท่าน ท่านไม่คิดว่านี่จะเป็นผลงานที่โดดเด่นของเราในครั้งนี้ที่จะทำให้เทพวารีปล่อยพวกเราไปหรือขอรับ … ”
วิ้งๆ!
ไม้ฟาดพิฆาตปีศาจสั่นเล็กน้อย
“ท่านกำลังกังขาในความจริงใจของข้าที่มีต่อท่านหรือไม่? ในภาพวาดวิญญาณและปีศาจของผู้อาวุโสไป่เจ๋อ พวกเราเป็นสัญลักษณ์ของความภักดี! นายท่าน หากท่านมีอะไรจะพูด เราก็มาพูดกันดีๆ เถิดขอรับ! ”
“หากเจ้าภักดีก็หยุดเดี๋ยวนี้! ”
“นายท่าน โปรดเก็บไม้ของท่านก่อนเถิด แล้วเราค่อยมาคุยกันทีหลัง! ”
“เจ้าสารเลว ไฉนในตอนนั้นข้าถึงยอมรับเจ้ามาแต่แรก!?!”
“นายท่าน ท่านไม่อาจโมโหไม่ไว้หน้าสัตว์ร้ายเช่นข้าได้! ”
“หยุดนะ! ”
“นายท่าน ท่านก็ไม่อาจเอาชนะเทพวารีได้ เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องทนต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
และแล้ว ท่ามกลางแสงตะวันยามเช้า สุนัขขนสีเขียวตัวใหญ่กำลังวิ่งไปในอากาศ และนักพรตเต๋าหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมและมีใบหน้าหล่อเหลาก็กำลังถือไม้ฟาดพิฆาตปีศาจพร้อมกับไล่ตามมันไป
ในบรรดาชนเผ่ามนุษย์ที่เพิ่งประสบกับความวุ่นวายของปีศาจสวรรค์ และมีร่างหลายร่างมองดูภาพเหตุการณ์นี้จากระยะไกลพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ภายนอกค่ายกลใหญ่ของเมืองเสวียนตู ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยืนอยู่ในกองโคลนสีดำ
เขามองไปยังเงาดำต่างๆ ที่กำลังหลบหนีไปทั่วทุกทิศทางในทะเลโกลาหลที่อยู่ข้างหน้า และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเล็กน้อย
“ฉางโซ่ว ควรจะจัดการที่นั่นหรือไม่?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว พวกปีศาจก็เหลี่ยมจัดมากทีเดียว แม้ศิษย์น้องของเขาจะทำงานต่างๆ ได้อย่างละเอียดรอบคอบ แต่เขาก็ยังค่อนข้างอ่อนต่อโลก
อืม อ่อนต่อโลก
………………………………………………………………..
[1] หมายถึง คนที่เดินทางไปโฆษณาความสามารถ (และยังมีความหมายเป็นนัยว่า เป็นสิ่งล้ำค่าหรือมีความพิเศษ)
[2] เปรียบว่าถูกควบคุมหรืออยู่ใต้อำนาจหรือข้อจำกัด จึงต้องปฏิบัติตาม