ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 847 เจ้าไล่ข้า เจ้าไล่ข้า...(2)
บทที่ 847 เจ้าไล่ข้า เจ้าไล่ข้า…(2)
ในโลกมนุษย์แห่งดินแดนเทวะทักษิณ ในเมืองใหญ่นั้น เมื่อเร็วๆ นี้ มันคึกคักมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษเนื่องจากมี ‘ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่’
หน้าประตูโรงเรียน เด็กชายและเด็กหญิงเจ็ดคนยืนเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง มาที่นี่ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น
ที่ด้านหน้าสถาบันการศึกษา หนุ่มน้อยและสตรีน้อยทั้งเจ็ดได้ยืนอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามมาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
คราแรก พวกเขายังพร่ำบ่นด้วยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย และรู้สึกว่า ท่านอาจารย์ผิดนัดพวกเขา
ทว่าเมื่อฮวาโหย่วหมิงกล่าวว่า “นี่น่าจะเป็นการทดสอบพวกเราของท่านอาจารย์!”
บัดนั้นทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวกลุ่มนี้ต่างก็มีกำลังใจฮึกเหิมขึ้นมาทันที
พวกเขายืนรออยู่หน้าประตูเงียบๆ และในเวลาไม่นาน เด็กสาวทั้งสามที่ไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าในวันนี้ ก็เริ่มมีเหงื่อออกมาบนใบหน้าที่งดงามของพวกนาง
ทันใดนั้นฮวาโหย่วหมิงก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
‘เซี่ยหนิงซวงผู้น่ารังเกียจคนนี้ หน้าตาดีทีเดียว’
แม้นางจะยังดูเป็นเด็กสาวอยู่ก็ตาม แต่นางก็ยังไม่งดงามเท่าหยิงหยิงที่บรรเลงดนตรี ถิงถิง และ ซวงซวงแห่งสำนักโคมเขียว ซึ่งมีเรือนร่างเย้ายวนน่าหลงใหล ทำให้ผู้คนจินตนาการถึงพวกนางอย่างเตลิดเปิดเปิงไปตั้งแต่แรกเห็น
ทว่าใบหน้าของพวกนางก็งดงามมีเสน่ห์ ยิ่งเขามองพวกนางมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกมากขึ้นเท่านั้น…
“เจ้ากำลังมองอันใดกัน!?!”
เซี่ยหนิงซวงเลิกคิ้วและแค่นเสียงว่า “หากไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ไม่อนุญาตให้ข้าสวมผ้าคลุมหน้า ข้าก็ไม่อยากถูกมองด้วยคนสวะเสเพลเช่นเจ้า!”
ฮวาโหย่วหมิงกระตุกมุมปากเล็กน้อย
เจ้าคิดอันใดกัน? สตรีดุร้ายเช่นเจ้านี่นะ! ผู้ใดที่ได้แต่งเจ้าในอนาคต ย่อมจะถูกเจ้ากดขี่ข่มเหงไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน!
หากไม่อาจทำร้ายได้ ก็เพียงแค่ศึกษาวิชาจากท่านอาจารย์ของเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น
กรี๊ด…
ทันใดนั้นประตูไม้ของสถาบันก็ถูกเปิดออก และหลี่ฉางโซ่วซึ่งปลอมตัวมาเป็นบัณทิตวัยกลางคนก็ปรากฏตัวต่อขึ้นหน้าคนทั้งหลาย เขาหาวแล้วกล่าว
“เข้ามา”
ฮวาโหย่วหมิงจ้องมองเขาและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเพิ่งตื่นหรือขอรับ?”
“เมื่อคืนเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำรุนแรง[1] ข้าก็เลยออกไปสังหารปีศาจ”หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบ “แล้วพอกลับมา ข้าก็รู้สึกง่วงเล็กน้อย จึงผล็อยหลับไป”
ทันทีที่เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกไป ดวงตาของฮวาโหย่วหมิงและเด็กหนุ่มอีกสามคนก็สว่างวาบขึ้นทันทีในขณะที่เด็กสาวทั้งสามก็อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยเช่นกัน
ฮวาโหย่วหมิงรีบถามว่า “มีปีศาจจริงๆ หรือขอรับ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเสียงดังลั่น
หลังจากที่พวกเขาทั้งเจ็ดเข้าไปแล้ว เขาก็ปิดประตูไม้ของลานบ้าน แล้วเดินเอามือไพล่หลังไปตามถนนหิน
จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างอบอุ่นว่า
“ในโลกนี้ มีมนุษย์เป็นตัวเอก ทว่าเมื่อทุกสรรพสิ่งได้พัฒนาสติปัญญาขึ้นมาแล้ว พวกมันก็ถูกเรียกว่า หมู่มวลสิ่งมีชีวิตได้
ดังคำกล่าวที่ว่า มนุษย์ วิญญาณ เซียน ปีศาจ อสูร และภูตผี สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีการขาดหายในโลก
เป็นเพียงว่าในดินแดนเทวะทักษิณแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรามารวมตัวกัน ซึ่งสถานที่อื่นๆ นั้นค่อนข้างหาได้ยากมาก
สิ่งที่เรียกว่าปีศาจนั้น ปีศาจก็คือ ปีศาจ หากผู้คนมีจิตวิญญาณชั่วร้าย พวกเขาก็จะกลายเป็นปีศาจ และหากผู้คนไร้จิตสำนึกไปทั้งหมด พวกเขาก็จะกลายเป็นปีศาจ ทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น ”
ฮวาโหย่วหมิงกะพริบตาและใคร่ครวญถึงถ้อยคำเหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วเขาก็มีความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นมาในใจ และเขาก็จดถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด
หลังจากเข้าไปในกระท่อมไม้ไผ่แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็หาวและกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งเจ็ดหารือกันก่อนว่าจะเลือกการบ้านแบบใด ข้าจะพักสักหน่อย แล้วค่อยสอนพวกเจ้าในตอนบ่าย”
กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็นอนอยู่บนเก้าอี้โยก แล้วในไม่ช้าเขาก็หลับตาและเริ่มส่งเสียงกรน
ความจริงแล้ว นี่เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ในยามนั้นเขาได้ย้ายจิตไปยังร่างหลัก แล้วเดินเล่น พูดคุย และจิบชากับเทพธิดาอวิ๋นเซียวบนเกาะซานเซียน จากนั้นก็กล่าวคำอำลาและจากมาในยามเที่ยง
มันทำให้รู้สึกสบายใจจริงๆ ที่ได้มีมิตรไมตรีกับเทพธิดาเช่นนี้
นางงดงามตื่นตาน่าหลงใหล เสียงนุ่มนวลน่าฟัง กลิ่นหอมกรุ่นจมูก และยังมีทิวทัศน์ทะเลและภูเขาที่วิจิตรตระการตายิ่ง มันโดดเด่นเป็นเอกในโลกบรรพกาลอย่างแท้จริง
จากนั้นร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วก็เลื่อนไถลกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยแห่งสำนักตู้เซียนอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็หามุมสบายๆ เอาไว้เพื่อซ่อนตัว
ครั้งนี้ เขาไม่ได้คืนท่านปู่เจดีย์และไม้เฉียนคุนเองก่อน
ในขณะนี้ หลิงเอ๋อร์ยังคงฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างนอก ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงสามารถเตรียมพร้อมได้เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้มากที่สุด
ในอีกด้านหนึ่งนั้น หลิงเอ๋อร์ก็มั่นคงมาก นางเดินเตร่ไปรอบเมือง จิบชา และซื้อของต่างๆ ในเมือง แม้นางจะกำลังคิดถึงวิธีการปีนขึ้นภูเขาว่านโซ่วไปด้วย แต่โดยทั่วไปแล้ว นางก็ค่อนข้างผ่อนคลายสบายใจ
บนยอดเขาเฮยฉือ นักพรตเต๋าหลี่ฉางโซ่วได้ลืมตาขึ้นในขณะที่ไป๋เจ๋อก็แย้มยิ้มแล้วเดินเข้ามา
“ปีศาจนอกอาณาเขตถูกจัดการหมดแล้วหรือ?”
“จัดการแล้ว” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “พลังเวทของตี้ทิงนั้นมีประโยชน์จริงๆ”
“นี่คือศัตรูของปีศาจนอกอาณาเขต” ขณะที่ไป๋เจ๋อกำลังจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบ แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงตัวเอง
ดูเหมือนว่า เขาจะถูกเทพวารีที่อยู่ตรงหน้ายับยั้งเอาไว้ตรงหน้า จากนั้นรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป แล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ และถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบายใจ
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนเล็กน้อยจริงๆ และเขาก็ถามว่า “ท่านไป๋ มีอันใดผิดไปหรือ?”
“เฮ้อ เทพวารี โปรดให้ข้าสงบใจสักพักหนึ่งเถิด”
“เชิญท่านไป๋เถิด” หลี่ฉางโซ่วสังเกตไป๋เจ๋ออย่างกังวลใจอยู่พักหนึ่ง ครั้นเมื่อพบว่าไป๋เจ๋อไม่มีอันใดผิดปกติ เขาจึงเริ่มไปจัดการเรื่องอื่นๆ
การปล่อยให้ตี้จั้งและตี้ทิงอยู่ในโลกใบเล็กนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการของหลี่ฉางโซ่ว
เหตุใดจึงมีเพียงสำนักบำเพ็ญประจิมเท่านั้นที่ลงมือโจมตีและแบ่งแยกสำนักบำเพ็ญเต๋าทั้งสามได้ ในขณะที่พวกเขาไม่สามารถก่อปัญหาให้กับสำนักบำเพ็ญประจิมได้?
ในตำหนักที่พำนักของเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ หลี่ฉางโซ่วได้เปลี่ยนเป็นร่างของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และเดินออกจากตำหนักที่พำนักพร้อมกับแส้ของเขา แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังหอทงหมิง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ศาลสวรรค์ได้ออกประกาศไปยังโลกภายนอก บรรดาทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ได้ส่งออกคำประกาศนี้ไปยังเมืองใหญ่ต่างๆ ทั้งหมดในดินแดนเทวะมัชฌิมา
นอกจากนี้ ยังได้ส่งคำประกาศนี้ไปที่ภูเขาวิญญาณแห่งดินแดนเทวะประจิม แล้วกระจัดกระจายไปยังสถานที่รวมตัวของพวกเผ่าปีศาจในดินแดนเทวะอุดรอีกด้วย
มันเป็นจดหมายชมเชย
จดหมายกล่าวว่า มีปีศาจนอกอาณาเขตสวรรค์มาก่อปัญหาและได้บุกรุกเข้าสู่สามอาณาจักรด้วยเจตนาจะทำร้ายบรรดาสิ่งมีชีวิต
โชคดีที่ภายใต้การนำทางของเต๋าสวรรค์และการอนุญาตของเหล่าจอมปราชญ์ สำนักบำเพ็ญเต๋าทั้งสามจึงได้ส่งบรรดาปรมาจารย์ให้ปรากฏตัวออกมา
และด้วยอาศัยคุณธรรมอันสูงส่งของตี้จั้งและพลังเวทของตี้ทิง พวกเขาจึงได้กวาดล้างพวกปีศาจนอกอาณาเขตทั้งหมดที่เข้ามาปะปนอยู่ในอาณาจักรทั้งสาม
………………………………………………………………..
[1] สถานการณ์หรือเหตุการณ์อันตรายมาก