ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 852 หลิงเอ๋อร์กลับคืนสู่ภูเขา (4)
บทที่ 852 หลิงเอ๋อร์กลับคืนสู่ภูเขา (4)
“อย่างไรเสีย เจ้าก็ยังต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เจ้าจะได้มีความสามารถป้องกันตัวเองในอนาคต ความสำเร็จในทุกอย่างนั้นล้วนขึ้นอยู่กับมานะคน เจ้าต้องพยายาม อย่าได้ยอมแพ้ง่ายๆ สิ”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวให้กำลังใจสนับสนุนเขาสองสามคำแล้วเรียก “โหย่วหมิง พาเสี่ยวโย่วไปที่นั่นด้วย”
“ขอรับ!”
ฮวาโหย่วหมิงกระโดดข้ามไปสองก้าว แล้วคลี่ยิ้ม
หยางเทียนโย่วรีบก้าวออกไปข้างหน้า และเรียกว่า “พี่ใหญ่” สองสามครั้ง และติดตามฮวาโหย่วหมิงไปราวกับลูกสมุนตัวน้อย
หลี่ฉางโซ่วอดจะหรี่ตาและหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้…
อีกหนึ่งปี น้องสาวของฮวาโหย่วหมิงก็จะถือกำเนิดเป็น ‘สาวงามธรรมดา’ ที่ฝ่าบาทองค์เง็กเซียนทรงให้นามเรียก
ในทำนองเดียวกัน นางก็น่าจะเป็นมารดาของหยางเจี้ยน[1]
หากหยางเทียนโย่วอยู่ที่นี่ ก็จะเป็นหยางเทียนโย่วที่เขารู้จัก และการแต่งงานที่อยู่เหนือโลกมนุษย์ครั้งนี้ก็สามารถอธิบายได้เช่นกัน
เมื่อเหลือพวกเขาเจ็ดคนในวันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้ใส่ใจชื่อนี้ในตอนแรก แต่หลังจากผ่านไปสองสามวัน ขณะที่ฝึกซ้อม จู่ๆ เขาก็นึกถึงว่า หยางเทียนโย่วผู้นี้เป็นใคร
เหตุใดจึงมีคำกล่าวว่า หยางเทียนโย่ว คือ ร่างกลับชาติมาเกิดของกุมารทองแห่งศาลสวรรค์?
หลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และได้ทำการตรวจสอบในศาลสวรรค์อย่างลับๆ
เขาพบว่า หยางเทียนโย่วผู้นี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เขาไม่ได้มีส้นเท้า[2]ใดๆ และไม่ได้มีคุณสมบัติดีมากนักเช่นกัน
เขาจึงคาดเดาว่า ฝ่าบาทองค์เง็กเซียนไม่อาจทนที่จะหยุดน้องสาวและน้องเขยของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงแอบเพิ่มส้นเท้าให้หยางเทียนโย่วบ้าง
ด้วยวิธีเช่นนี้ เขาย่อมสามารถใส่ใจดูแลและเสริมส่งศักดิ์ศรีแห่งศาลสวรรค์และใบหน้าขององค์เง็กเซียนได้…
ว่ากันตามตรง เรื่องราวของหยางเจี้ยนนั้น ก็ค่อนข้างน่าเศร้าเช่นกัน
บิดามารดาของเขาให้กำเนิดพี่น้องสองคนคือ หยางเจี้ยน พี่ชายคนโต แล้วบิดาของเขาก็เสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของทหารสวรรค์ มารดาของเขาก็ถูกกดทับอยู่ใต้ภูเขาต้นท้อ
หยางเจี้ยนและน้องสาวของเขาถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง และพยายามดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อให้ได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ผู้หนึ่ง…
หลี่ฉางโซ่วก็จำรายละเอียดที่เกี่ยวข้องไม่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีความคิดเห็นที่ร่ำลือถึงตำนานของเทพเอ้อร์หลางหลากหลายแตกต่างกันไป
กล่าวกันว่า เมื่อหยางเจี้ยนตัดภูเขาเพื่อช่วยเหลือมารดาของเขานั้น เขาได้ช่วยนางจากภูเขาต้นท้อ ทว่ามารดาของเขาก็ถูกทิ้งให้ตากแดดลมนานแล้วจนเสียชีวิต
ดังนั้นหยางเจี้ยนจึงมีความแค้นต่อศาลสวรรค์ แม้เขาจะได้รับรางวัลจากสวรรค์ แต่เขาก็ยังคงเก็บงำความเกลียดชังที่มีต่อท่านลุงของเขาเอาไว้ และมีประโยคที่เขียนไว้ว่า “จะรับบัญชาเฉพาะการศึก แต่ไม่รับการแต่งตั้งหรือตบรางวัลใดๆ[3]”
นี่เป็นเพียงบางอย่างที่หลี่ฉางโซ่วเคยสังเกตมาก่อนหน้านี้และกังวลใจเป็นพิเศษ
หยางเจี้ยนได้เข้าสู่มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ และหลังจากที่ได้รับตำแหน่งเทพในศาลสวรรค์แล้ว เขาก็ได้ติดตามอวี่ติ้งเจินเหริน ท่านอาจารย์ของเขา เพื่อปกป้องอาณาจักรโจว!
แต่แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องราวดั้งเดิม
……
ที่ชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ของดินแดนเทวะอุดร สถานที่ที่พวกเผ่าปีศาจได้มารวมตัวกัน
สถานที่แห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับหลายสิบปีก่อน แผ่นดินแตกระแหงแห้งแล้ง น้ำพุบนภูเขาหยุดไหล ทั่วทุกหนแห่งดูไร้ชีวิตชีวา และภูเขาหลายแห่งก็ได้กลายเป็นภูเขาที่ตายแล้ว
ไม่มีเหตุผลอะไรอื่น พวกเผ่าปีศาจเหล่านี้ได้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อต่อสู้กับสวรรค์ และเป็นสถานที่ชั่วร้ายของเต๋าสวรรค์
รายการต่างๆ ที่หน่วยงานต่างๆ ในศาลสวรรค์ได้จัดทำขึ้นเหล่านั้น ไม่ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องอีกต่อไป ยกเว้นแต่เพียงหอสุขาเท่านั้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลังจากต่อสู้กันมานาน พวกปีศาจเหล่านี้ก็มีหนังหนาขึ้น
ผู้นำอาวุโสของพวกเผ่าปีศาจ ไม่คาดคิดว่า ศาลสวรรค์จะทนได้มากขนาดนี้จริงๆ…
ในตอนเริ่มต้น เมื่อศาลสวรรค์ถูกประณาม ศาลสวรรค์ก็ได้ใช้วิธีการประเภทต่างๆ เพื่อตอบโต้โดยที่พวกเขาไม่ได้ส่งกองกำลังเข้าปราบปรามพวกเผ่าปีศาจ
จากนั้น ศาลสวรรค์ก็ได้ส่งกองทัพขนาดใหญ่เข้าร่วมรบในสงครามที่ดินแดนเทวะอุดร และสภาพจิตใจพวกเผ่าปีศาจก็ถูก “เทพวารีที่ควบขี่ไป๋เจ๋อ” เข้าทำลาย
พวกมันไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำร้ายศาลสวรรค์ได้เท่านั้น แต่ยังต่อสู้กับตัวเองจนจิตใจสั่นคลอนอีกด้วย
พวกมันต้องการชัยชนะครั้งใหญ่ แล้วใช้ประโยชน์จากชัยชนะนั้นเพื่อเจรจาต่อรองกับศาลสวรรค์
ตรรกะนั้นง่ายมากและกระบวนการนี้ก็ยังชัดเจนมาก แต่เทพวารีแห่งศาลสวรรค์กลับไม่ให้โอกาสพวกมันเลย!
ในห้องโถงใต้ดินแห่งหนึ่ง
ลู่หยาเอนกายพิงบัลลังก์โดยมีตราประทับของจักรพรรดิปีศาจลอยอยู่ตรงหน้าเขา เขาเอาฝ่ามือก่ายหน้าผากของเขาด้วยสีหน้าที่ดูมืดมนอย่างยิ่ง
เทพวารี…
‘เทพสงครามไม่สู้กับพลัง’ เซียนสงครามไม่สู้กับจอมปราชญ์’
ไป๋เจ๋อ…
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังออกมาจากมุมห้องโถง และร่างสองร่างก็เดินออกมาจากเงามืด
ร่างค่อนข้างเล็กหยุดอยู่ที่มุมห้องและไม่ก้าวออกไปข้างหน้า และมีเส้นผมสีเงินสองเส้นถูกเผยออกมาให้เห็นใต้เสื้อคลุม
ชายชราอีกคนหนึ่งได้ยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วรีบเดินไปที่บัลลังก์อย่างรวดเร็ว
เขาประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว”
“ผู้อาวุโส โปรดบอกข้ามาเลย” ดวงตาของลู่หยาดูหมองคล้ำเล็กน้อย
ชายชรายิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไยเราไม่เริ่มต้นด้วยเทพผู้ทรงพลังอำนาจอื่นๆ ในศาลสวรรค์เล่า?
เทพวารีนั้นยากที่จะจัดการได้จริงๆ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นเพียงเทพผู้ชอบธรรมระดับที่สาม และยังมีเทพผู้ชอบธรรมระดับที่สองในศาลสวรรค์เช่นกัน แม่ทัพตงมู่”
………………………………………………………………..
[1] พระนามของเทพเอ้อร์หลาง หรือเทพสามตาเป็นหลานของเง็กเซียน (ลูกของพระขนิษฐาของเง็กเซียน ที่เกิดกับสามีที่เป็นมนุษย์)
[2] ภูมิหลัง ตัวตน ร่องรอย
[3] ด้วยความสัมพันธ์ของเทพสามตากับองค์เง็กเซียนไม่ค่อยดีนัก ขึงมีคำกล่าวที่เป็นเสมือนคำนิยามของเทพสามตาว่า เทพสามตาจะรับบัญชาเฉพาะการศึก แต่จะไม่รับการแต่งตั้งหรือตบรางวัลใดๆ จากสวรรค์