ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 133 ใครเป็นอาจารย์
“อาจารย์อาทั้งสองทำไมมาที่นี่” เถิงสีสังเกตเห็นคนทั้งสอง รีบลุกขึ้นเดินไปต้อนรับ ก่อนจะทำความเคารพทั้งสองคน “ทักทายอาจารย์อาทั้งสอง” จากนั้นมองเห็นไป๋อวี้ที่เดินตามเข้ามาข้างหลัง สีหน้ายิ่งดีใจ ก่อนจะตบไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมพูดกลั้วหัวเราะว่า “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าก็มาด้วย ข้าบอกเจ้าให้ สถานที่ที่พวกเจ้าเตรียมไม่เลวเลย พลังวิญญาณเข้มข้นอีกทั้งยังสบาย ดีกว่ายมโลกเสียอีก”
เขายิ้มอย่างสดใส ไม่รู้ตัวว่าถูกคนใช้ให้เป็นผีรักษาความสดใหม่ พูดขอบคุณอยู่อย่างนั้น
เหวินชิง “…”
หยวนเจียง “…”
รู้สึกดีใจที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ของตนเอง
เถิงสีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หานซูก็ลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ เขาทักทายไป๋อวี้ก่อน จากนั้นมองไปยังคนทั้งสองด้วยสีหน้าฉงน “ศิษย์น้องสี เมื่อครู่เจ้าเรียกพวกเขาว่าอาจารย์อา หรือว่าจะเป็น…”
“ใช่แล้ว” เถิงสีพยักหน้าอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้รู้จักกันแล้ว พร้อมทั้งอธิบายเรื่องราวของอาจารย์ให้ฟัง
หานซูสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที ก่อนจะลอยเข้าใกล้ มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดพร้อมทำความเคารพ… หยวนเจียงที่มีพลังมากกว่า “ลูกศิษย์ทำความเคารพอาจารย์!” จากนั้นหันไปยังเหวินชิง “ทำความเคารพอาจารย์อา”
หยวนเจียง “…”
เหวินชิง “…”
เหวินชิงสีหน้าดำลง ทำไมรู้สึกว่าลูกศิษย์ของเขาไม่เพียงสูญเสียความทรงจำ แต่ยังสูญเสียสมองด้วย!
“ศิษย์พี่หาน ท่านเข้าใจผิดแล้ว!” เถิงสีรีบแก้ไขให้ เขาชี้ไปยังเหวินชิงแล้วพูดขึ้น “ท่านนี้ถึงจะเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านนั้นคืออาจารย์อาหยวน!”
“ฮะ?” หานซูผงะไป ก่อนจะพูดโพล่งออกมา “เจ้าบอกว่าอาจารย์ของเจ้าบรรลุเป็นเทพเร็ว รักษาลักษณะตอนหนุ่มไว้ตลอด เช่นนั้นอาจารย์ข้าก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ทำไม…” ทำไมแก่กว่าอาจารย์อาด้านข้างเสียอีก
“…”
ฉึบ ราวกับได้ยินเสียงมีดปัก
บรรยากาศอึดอัดไปชั่วขณะ แต่ว่าไซบีเรียนบางตัวยังไม่รับรู้ ยังคงอธิบายอย่างตั้งใจ “ไม่ใช่ศิษย์พี่ ท่านจะพูดแบบนี้ไม่ได้ อาจารย์อาเหวินชิงแม้จะสู้อาจารย์อาหยวนไม่ได้ อีกทั้งยิ่งเทียบกับอาจารย์ข้าไม่ได้ และยังบรรลุเป็นเทพได้ช้า อายุมาก หน้าแก่ ฐานะต่ำที่สุดในบรรดาพวกเขา แต่ท่านก็ยังเก่งมากนะ!”
ไป๋อวี้ “…” ฉึบๆๆ เสียงมีดปักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หานซู “…” ไม่ใช่ ศิษย์น้อง เจ้าพูดแบบนี้ จะให้ข้าตอบอย่างไร
เหวินชิง “…” ตอนนี้ไล่ลูกศิษย์ออกทันหรือไม่
เหวินชิงสีหน้าดำทะมึน รู้สึกเลือดจะกระอักขึ้นมา โชคดีที่หยวนเจียงรีบเบี่ยงเบนประเด็น “แค่ก ศิษย์หลานหาน ข้าได้ยินศิษย์หลานเล็กบอกว่า เจ้าถูกทำลายจนกระทั่งเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณ ความทรงจำที่ผ่านมาล้วนสูญเสียใช่หรือไม่”
“ตอบอาจารย์อาหยวน เป็นเช่นนั้น” โชคดีที่หานซูพอจะมีสมอง รู้ตัวว่าตนเองพูดผิดไป จึงรีบเปลี่ยนคำเรียก
“ดังนั้นเจ้าจำคนที่ทำร้ายเจ้าไม่ได้?” หยวนเจียงถามอีกครั้ง
หานซูสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ก็ยังส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หลายวันนี้ โชคดีที่มีศิษย์น้องอวิ๋นและศิษย์น้องไป๋ช่วยเลี้ยงวิญญาณให้ข้า ทำให้เสี้ยววิญญาณที่หายไปกลับมาบางส่วน แต่ความจำแต่ก่อนไม่กลับมาแม้แต่น้อย”
หยวนเจียงคิ้วขมวดมุ่น ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปมองเหวินชิง “ช่างเถอะ ศิษย์น้องเล็ก พวกเรารวบรวมวิญญาณให้เขาก่อนเถอะ ตอนนี้เขาหลงเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณ หากยืดเยื้อต่อไป จะเป็นการยากที่จะหาวิญญาณที่หายไป”
เหวินชิงปากกระตุกเล็กน้อย ถึงแม้จะรังเกียจลูกศิษย์ที่ถูกบางคนพาโง่ไป แต่หยวนเจียงพูดไม่ผิด วิญญาณของหานซูเกือบจะสลายไป สามารถหลงเหลือเสี้ยววิญญาณไว้ได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว หากยืดเยื้อต่อไป แม้เสี้ยววิญญาณจะเลี้ยงดีแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจรวบรวมวิญญาณได้ใหม่
โชคดีที่ห้องใต้ดินนี้ นอกจากกองวัตถุดิบตรงกลางที่ดูไม่ได้แล้ว ก็เป็นสถานที่เลี้ยงวิญญาณชั้นดี อีกทั้งยังสะดวกต่อการเสกคาถาของพวกเขา ดังนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้รีรอ เริ่มการรวบรวมวิญญาณขึ้นมา
…
การรวบรวมวิญญาณเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างมาก นอกจากต้องใช้พลังอย่างมากแล้ว ยังต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับอีกฝ่ายอย่างมาก ถึงจะสามารถเรียกวิญญาณที่ตกหล่นกลับมาได้ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ช่วยหานซูรวมวิญญาณ
เหวินชิงเป็นอาจารย์ของหานซู อีกทั้งบรรลุเป็นเทพเป็นเวลานาน มีพลังมาก แต่เนื่องจากบาดเจ็บสาหัสจึงต้องอาศัยพลังของหยวนเจียงในการฟื้นฟูวิญญาณของหานซู
การช่วยเหลือในครั้งนี้ใช้เวลากว่าครึ่งเดือน พวกเขาไม่ได้ออกไปจากห้องใต้ดินแม้แต่น้อย เถิงสีถึงแม้จะไม่ค่อยฉลาด แต่เขายังคอยคุ้มครองคนทั้งหลายในห้อง
ไป๋อวี้ไปดูสถานการณ์ในห้องใต้ดินทุกวัน ส่วนหนี่งเพื่อหยิบวัตถุดิบที่ต้องใช้ในแต่ละวัน มองดูร่างวิญญาณกึ่งโปร่งใสของหานซูเริ่มแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะใกล้เคียงกับวิญญาณธรรมดา
“ชายแก่ อาจารย์อาทั้งสองจะออกจากห้องใต้ดินเมื่อไหร่” อวิ๋นเจี่ยวถามขึ้น
“ใกล้แล้วๆ” ชายชราพลางจัดกระดาษทดสอบที่เพิ่งเก็บมาพลางพูด “ครั้งที่แล้วที่ข้าไป วิญญาณของหานซูใกล้ดีขึ้นแล้ว ข้าว่าใช้เวลาไม่ถึงสามวันคงจะสำเร็จ”
“สามวัน…” อวิ๋นเจี่ยวมองดูจดหมายในมือ ก่อนจะถอนหายใจ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าว่าคงต้องอีกสิบวัน กว่าพวกเขาจะออกมาได้”
“ทำไม” ไป๋อวี้ผงะ ไม่น่านะ หานซูตอนนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับวิญญาณธรรมดาแล้ว “หรือว่ายิ่งถึงตอนท้าย วิญญาณยิ่งยากต่อการรวบรวม?”
“ไม่ใช่” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย “ร่างสามหยินของหานซูถูกแบกกลับมาไม่ใช่เหรอ หากรวบรวมวิญญาณต้องใช้สามวัน เช่นนั้นการหลอมวิญญาณเข้าร่างคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดวัน”
“อ่อ” ไป๋อวี้พยักหน้าเข้าใจ กำลังจะถามเรื่องของยมโลก กลับเห็นอวิ๋นเจี่ยวหยิบตำราคุ้นเคยเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาผงะไป “เจ้าหนู ทำไมเจ้าถึงอ่านคาถาเสวียนซินขึ้นมา” อีกทั้งยังเป็นต้นฉบับที่อาจารย์ปู่ให้เอาไว้ ไม่ใช่เล่มที่นางเขียนเอง
อวิ๋นเจี่ยวหันมามองเขาพร้อมอธิบาย “ข้าเคยบอกท่าน อาจารย์ปู่ปลูกเส้นชีพจรเสวียนให้ข้าแล้ว หลายวันนี้ข้ากำลังลองฝึกฝน จึงอ่านตำราปูพื้นฐานหน่อย”
“เจ้าเริ่มฝึกฝนแล้ว!” ไป๋อวี้สีหน้าดีใจ รีบเดินเข้าใกล้ ก่อนจะพูดด้วยความได้ใจเล็กน้อย “เป็นอย่างไรเจ้าหนู มีตรงไหนไม่เข้าใจหรือไม่ หรือว่าเจออุปสรรคอะไร วางใจได้ คาถาเสวียนซินข้าคุ้นเคยดี เจ้าถามมาได้” ทันใดนั้นเขามีความรู้สึกเหมือนพลิกสถานะขึ้นมา ไม่ง่ายเลย ในที่สุดเขาก็มีเรื่องหนึ่งที่เดินนำหน้าเทพแห่งการเรียนแล้ว
“ไม่เชิงอุปสรรค!” อวิ๋นเจี่ยวผงะเล็กน้อย ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้น “เจอปัญหาเล็กน้อย ตอนที่ฝึกราวกับ…ไม่เหมือนกับของคนอื่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแต่ก่อนข้าเข้าใจผิดหรือไม่ ดังนั้นจึงอยากอ่านต้นฉบับใหม่อีกครั้ง”
ไป๋อวี้ดีใจ ในที่สุดก็หาความมั่นใจกลับมาได้ ทันใดนั้นก็ยืดหลังตรง ยิ้มตาหยี “ไม่เหมือนตรงไหน ไม่เป็นไร ข้าสอนเจ้าเอง!”