ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 159 ยมทูตขอเข้าพบ
คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นคือยมทูตสามคนที่ไม่ได้มาครั้งก่อน เมื่อเทียบกับสามคนก่อนหน้านี้ สามคนนี้มีมารยาทกว่ามาก ทำท่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดี
เวลาเพียงสามวัน ทำให้พวกเขาไม่กล้าดูถูกท่านยมราชคนใหม่นี้แล้ว เมื่อคิดถึงสถานการณ์ยมทูตสามคนก่อนในตอนนี้ วิญญาณทั้งเมืองโยวหลิงไม่มีใครคิดว่าพวกเขาเป็นยมทูตอีกแล้ว อำนาจที่รักษามาหลายปี พังทลายภายในพริบตา ส่วนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ใช้เวลาเพียงแค่สามวัน อีกทั้งท่านยมราชนี้ไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในยมโลก
มาถึงเวลานี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าท่านยมราชใหม่นี้แตกต่างจากที่พวกเขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดล้วนไม่ได้ผลกับเขา ดังนั้นคนที่เหลืออีกสามคนเริ่มกระวนกระวายขึ้นมา เกรงกลัวว่าตนเองจะกลายเป็นแบบสามคนก่อนหน้านี้ หากยังไม่เลือกข้าง ตำแหน่งของพวกเขาคงได้เปลี่ยนให้วิญญาณตัวอื่นมานั่งแทน
ดังนั้น เมื่อยิ่งคิดพวกเขายิ่งกระวนกระวาย พวกเขาตัดสินใจทอดทิ้งเฟิงฉิง ไม่รอแม้กระทั่งคำสั่งเรียกเข้าพบของท่านยมราช พวกเขาเกรงว่าหากไม่มาอีก วันหลังคงจะไม่มีโอกาสได้มาแล้ว
“ข้าน้อยมาเข้าพบช้า หวังว่าท่านยมราชจะยกโทษให้!” ยมทูตทั้งสามไม่กล้าที่จะดูถูกมนุษย์ตรงหน้านี้อีก พวกเขาก้มตัวต่ำลง พร้อมกับคุกเข่าอยู่บนพื้น ในมือถือสมุดหนาปึกหนึ่ง “นี่คือรายชื่อข้าราชการ และการกระจายของสมาชิกผีในเมืองสิบหกเขตตะวันออก เมืองเก้าเขตใต้ และเมืองห้าเขตตะวันตกเฉียงเหนือในเมืองโยวหลิง รวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหลายปีมานี้ในเมืองผี บันทึกการไปมาของสมาชิกผี ขอให้ท่านยมราชตรวจสอบ”
อาจเป็นเพราะได้ยินสถานการณ์ของสามคนก่อนหน้า ครานี้พวกเขาเตรียมพร้อม นำเอาข้อมูลทั้งหลายในเมืองผีมาด้วย แสดงให้เห็นว่าตนเองพร้อมปฏิบัติหน้าที่
ไป๋อวี้ที่ตื่นขึ้นจากพลังวิญญาณของพวกเขาหน้าดำทะมึน ทำได้เพียงนั่งกอดผ้าห่ม พยายามนั่งหลังตรง
ยมทูตของยมโลกชอบปรากฏตัวอย่างกะทันหันหรืออย่างไร อีกทั้ง…ยังเป็นตอนที่เขาไม่ได้สวมกางเกง!
w(゚Д゚)w
อวิ๋นเจี่ยวเข้ามาในช่วงสถานการณ์น่าอึดอัดนี้พอดี มองดูชายแก่ที่กำลังจะห่อตัวเป็นบ๊ะจ่างอยู่บนเตียง จากนั้นมองไปยังคนที่ถือสมุดอยู่บนพื้น ก่อนจะรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย
ภายใต้การส่งสัญญาณทางสายตาของชายแก่ นางถึงได้ถอนหายใจออกมา แล้วพูดขึ้น “ท่านยมทูตทั้งหลายมาไกล เชิญตามข้าไปพักผ่อนที่ตำหนักใหญ่ก่อน” พูดจบก็รับสมุดในมือของพวกเขามา
ยมทูตทั้งสามมองนางทีหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังไป๋อวี้ที่อยู่บนเตียงอย่างลังเล
ชายแก่ปากกระตุก ก่อนจะออกปากไล่คน “พวกเจ้าถอยไปก่อน รอข้าเปลี่ยนชุดแล้วจะไปพบ”
ยมทูตทั้งสามเข้าใจในทันที บนใบหน้าปรากฏความเก้อเขินเล็กน้อย พวกเขาเป็นผีมานาน ลืมไปว่ามนุษย์ต้องสวมเสื้อผ้านอนหลับ พวกเขาจึงรีบลุกตามอวิ๋นเจี่ยวออกไป
อวิ๋นเจี่ยวนำพาทั้งสามคนไปยังตำหนักใหญ่ด้านหน้า คนในสำนักชิงหยางมีน้อย อีกทั้งยังเป็นเวลากลางคืน ตำหนักใหญ่ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานยิ่งมืดสนิท
“มืดเกินไป” นางชี้ไปยังไฟบนผนัง ก่อนจะพูดกับยมทูตตัวเล็ก “รบกวนท่านช่วยจุดไฟหน่อย”
ยมทูตผงะไป ไม่เข้าใจความหมายของนาง นางจึงทำได้เพียงพูดเสริม “แบบสีเขียว”
สีเขียว? ไฟผี?
ยมทูตนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเรียกไฟผีออกมา ทันใดนั้นตำหนักใหญ่ส่องสว่างไปด้วยแสงสีเขียว
“ขอบคุณ!” อวิ๋นเจี่ยวกล่าวขอบคุณ ก่อนจะชี้ไปยังเก้าอี้ในตำหนัก “ทุกท่านเชิญนั่ง ตา…ท่านยมราชเดี๋ยวก็มา”
พูดจบก็หันหลังเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ไม่สนใจคนทั้งสาม ก่อนจะเริ่มเปิดอ่านข้อมูลทั้งหลายที่เหล่ายมทูตพกมา
ยมทูตทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่เข้าใจว่าท่านยมราชมีแผนการอย่างไรกับพวกเขา หากบอกว่าจะลงโทษ แต่ก็ให้พวกเขารออยู่ในตำหนัก หากบอกว่าไม่ลงโทษ พาพวกเขามาถึงที่นี่แต่ก็ไม่สนใจ แม้แต่หญิงสาวที่นำพวกเขามาที่นี่ก็มัวแต่สนใจข้อมูลในมือ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจพวกเขา อีกทั้งไม่รู้ว่าหยิบพู่กันกับกระดาษออกมาจากไหน เขียนข้อมูลลงไปเป็นครั้งคราว
ทั้งสามคนยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น ลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายจึงทำได้เพียง…จุดไฟผีส่องสว่างให้อีกฝ่ายอ่านง่ายมากขึ้น แค่เพียงไม่เรียกคืนสมุดบันทึกความตายของพวกเขา ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
เหล่ายมทูตรออยู่ในตำหนักใหญ่กว่าครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งอวิ๋นเจี่ยวอ่านข้อมูลจนใกล้เสร็จ ถึงพบเห็นท่านยมราชคนใหม่เดินมา พร้อมกับท่านเทพ
พวกเขารู้ว่าข้างตัวท่านยมราชมีท่านเทพคนหนึ่ง เมื่อเห็นดังนั้นทั้งสามจึงลุกขึ้นทำความเคารพ เมื่อรออีกฝ่ายนั่งลง พวกเขาก็กระชับมือข้างลำตัวแน่น ก่อนจะพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านยมราช สถานการณ์เมืองโยวหลิง พวกข้าได้รายงานแก่ท่านยมราชแล้ว ไม่ทราบว่า…ท่านมีคำสั่งอันใดอีกหรือไม่”
ทั้งสามคนล้วนตื่นเต้นเล็กน้อย เรื่องที่พวกเขาไม่มาเข้าพบ เป็นเรื่องใหญ่แต่ก็เป็นเรื่องเล็ก อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร
ไป๋อวี้ใช้ท่าทีหลอกคนของเขา ทำท่าทางเย็นชามองคนทั้งสาม สักพักถึงได้หัวเราะเสียงเบาออกมา ก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู เจ้าว่าอย่างไร” เขาทำท่าทางถามอย่างไม่ตั้งใจ อันที่จริงแล้วเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร ประเด็นคืออีกฝ่ายมาไวเกินไป เขายังไม่ทันได้เตี๊ยมกับเจ้าหนู
อวิ๋นเจี่ยววางพู่กันในมือลง ก่อนจะมองคนทั้งสาม “สิ่งที่พวกท่านนำมาข้าได้อ่านคร่าวๆ แล้ว โดยเฉพาะเรื่องสองปีมานี้ ข้าจำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อน โลกมนุษย์เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น สาเหตุมาจากวิญญาณในเมืองโยวหลิงลักลอบดึงดูดพลังชีวิตของคนเป็น แต่น่าแปลกที่บันทึกของพวกท่าน ข้ากลับไม่เห็นเรื่องนี้แม้แต่น้อย พวกท่านสามารถอธิบายได้ไหมยมทูต”
ทั้งสามคนสีหน้าซีดไปในทันใด พวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงเรื่องการเรียกคืนสมุดบันทึกความตายของตนเอง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะพูดถึง แต่กลับพูดตรงประเด็นถึงปัญหาสำคัญ ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาล้วนปรากฏความลนลาน ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
สักพักยมทูตทางด้านซ้ายถึงได้พูดขึ้น “คือ…ท่านยมราช เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของพวกข้า แต่วันนั้นมีคนแอบอ้างคำสั่งของท่านยมราช พวกข้าถึงได้แจ้งเจ้าเมืองทั้งหลายให้รวบรวมพลังชีวิต”
“ใช่แล้วท่านยมราช!” อีกคนก็พูดขึ้น “รวบรวมพลังชีวิตคนเป็นผิดต่อชะตาลิขิต แต่พวกข้าก็แค่ทำตามคำสั่ง”
พวกเขาพูดด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ ไม่เพียงแต่อวิ๋นเจี่ยว แม้แต่หยวนเจียงที่อยู่ด้านข้างก็หน้าดำลง เขาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ทำตามคำสั่ง?” เขาส่งเสียงเย็นในลำคอ “ยมทูตเมืองโยวหลิงเป็นบุคคลรองลงจากยมราชเท่านั้น คนอื่นอาจเชื่อคำสั่งปลอม แต่พวกท่านในฐานะที่เป็นยมทูตที่อยู่ใกล้ท่านยมราชที่สุดจะแยกจริงเท็จไม่ออกหรือ”
“คือ…” ทั้งสามคนมีสีหน้าซีดเผือด
“หรือว่า พวกท่านรู้อยู่แล้วว่าเป็นคำสั่งปลอม แต่ยังคงทำ! หรือว่า…” สายตาของหยวนเจียงเปลี่ยนไปทันที “คำสั่งปลอมที่ว่ามาจากปากของพวกท่าน?”