ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 17 ออกข้างนอกตุนเสบียง
ไป๋อวี้เปิดหนังสือบนมือเล่มนั้นด้วยใจที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตอนที่เจ้าหนูศึกษาคาถาอยู่นั้น เขาก็เคยแอบอ่านครั้งสองครั้ง แต่เนื้อหาด้านในล้ำลึกเกินไป อ่านไปเพียงสองบรรทัดเขาก็อดทนต่อไปไม่ไหว แต่เมื่อเขาเปิดตำราเล่มนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เจ้าหนูไม่มีเส้นชีพจรเสวียน ตำราที่นางคัดลอกย่อมไม่มีพลัง เขาอ่านผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีความรู้สึกเวียนหัวแม้แต่น้อย อีกทั้งเนื้อหายังไม่มีความแตกต่างอีกด้วย
เจ้าหนูนำเอาคาถาเดิมนั้นมาแยกทีละประโยค และอธิบายทีละคำ ด้านข้างยังมีการอธิบายยกตัวอย่างอีก ทำให้คนอ่านเข้าใจเนื้อหาได้ในทันที เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตำราเล่มนี้ถึงเรียกว่าการอธิบายอย่างละเอียดของคาถาเสวียนซิน นี่มันอธิบายละเอียดจนจะเป็นผงอยู่แล้ว เจ้าหนูพูดไม่ผิด ขอแค่ไม่ใช่คนสติไม่ดีอ่านยังไงก็ต้องเข้าใจ
ไป๋อวี้ไม่เคยรู้สึกว่าคาถาเสวียนซินฝึกได้ง่ายขนาดนี้มาก่อน หากเป็นเช่นนี้เขาอาจจะฝึกได้สำเร็จในเวลาอันสั้นก็เป็นได้ ยิ่งอ่านยิ่งตื่นเต้น พลิกอ่านไปหลายต่อหลายหน้าราวกับหิวกระหาย แม้กระทั่งข้าวยังลืมที่จะกินต่อ ถึงแม้ว่าจะเหลือไม่กี่คำ
กระทั่งเจ้าหนูดึงตำราในมือเขาออก “เดี๋ยว เจ้าหนู…ให้ข้าดูต่ออีกหน่อย!” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อยากจะฝึกฝนวิชาอย่างจริงจัง อาจารย์ต้องซาบซึ้งในตัวเขาเป็นแน่
“ยังไม่รีบ” อวิ๋นเจี่ยวปิดตำรา แล้วส่งคืนให้เขา “หากท่านมีเวลา วันนี้ไปตลาดที่ใกล้ที่สุด”
“ตลาด?” ชายแก่อึ้ง “ทำไม เจ้าหนูเจ้าขาดอะไร ต้องซื้ออะไร ข้ามีเงิน!” ครั้งที่แล้วได้มาสี่สิบตำลึงยังไม่ได้ใช้ พูดจบก็ทำท่าจะควักเงิน
“เสบียงของพวกเราจะหมดแล้ว” นางชี้ไปยังถ้วยด้านหน้าของเขา “นี่เป็นข้าวสารที่เหลืออยู่ในอาราม มื้อต่อไปคงต้องกินลมแล้ว” พืชผักที่สวนมีปลูกไว้มากอยู่ แต่ข้าวสารกลับหมดแล้ว นางอยากจะบอกตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน มัวแต่ยุ่งอยู่กับการอ่านตำราการรักษาพวกนั้นอยู่
“หมดเร็วเพียงนี้!” ชายแก่ตะลึง ไม่ได้ทำอาหารกินเป็นเวลานานจนไม่ได้ไปดูโอ่งใส่ข้าว เมื่อก่อนข้าวสารในโอ่งนั้นกินได้เป็นเวลาครึ่งปี แต่พอคิดไปคิดมาก็เข้าใจ ตอนนี้ในอารามมีเจ้าหนูอวิ๋นเจี่ยวเพิ่มขึ้นหนึ่งคน และเมื่อไม่นานมานี้ยังมีท่านปรมาจารย์ที่โผล่มาทุกมื้อ ข้าวสารจะหมดเร็วก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งเดี๋ยวเขาจะเริ่มฝึกฝนคาถาเสวียนซินแล้ว ถึงตอนนั้นคงจะไม่สะดวกออกไปข้างนอก ต้องเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นถึงจะถูก
เขาหันหน้าไปดูฟ้าด้านนอก “ตลาดอยู่บริเวณด้านล่างเขาไม่ไกลมาก ลงจากเขาแล้วเดินต่ออีกครึ่งชั่วยามก็ถึง ตอนนี้ยังเช้าอยู่ หรือไม่ก็ไปกันวันนี้ กินเสร็จก็ออกเดินทาง” ไม่แน่ว่ากลับมายังมีเวลาศึกษาตำราได้อีก
พูดจบก็เร่งความเร็วในการกินข้าวบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง ยังไม่ทันที่จะได้เก็บก็ลากอวิ๋นเจี่ยวออกไปทางประตู “ไปๆ เร็วเข้า หากฟ้ามืดร้านขายข้าวสารจะปิดเอา”
อวิ๋นเจี่ยวที่ถูกลากออกไป “…” ข้าไม่ได้บอกว่าจะไปด้วยนะ!
เสียดายที่ไม่ทันการเสียแล้ว นางถูกชายแก่ไป๋อวี้ที่จมอยู่กับความขยันหมั่นเพียรในการเรียนลากออกจากประตูไปอย่างรีบร้อน ขนาดประตูใหญ่ของอารามยังลืมปิด
ทันใดนั้น สำนักชิงหยางที่กว้างใหญ่ก็เงียบสงบลง
สักครู่…
ประตูเจดีย์ที่ปิดไปครึ่งเดือนก็ถูกเปิดออกเพียงเสี้ยวเดียว แสงสีขาวลอยออกมาจากด้านใน ทันใดนั้นร่างสีขาวของคนบางคนก็ปรากฎอยู่บริเวณหน้าโต๊ะกินข้าวที่เละเทะ สายตาฉายแววเฉยชากวาดมองไปยังน้ำแกงที่เหลือเพียงเศษอันน้อยนิดบนโต๊ะ ทันใดนั้นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแน่น ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ตินั้นเจือปนไปด้วยความหัวเสียสองส่วน ความโกรธเจ็ดส่วน และอีกส่วนหนึ่งคือ…ความน้อยใจ
ไม่เหลือ…ไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว
(இдஇ;)
ทันใดนั้นอยากจะขับไล่คนบางคนออกจากสำนักไป
…
ฮัดชิ่ว!
ไป๋อวี้ที่รีบลงไปซื้อข้าวสารจามขึ้นมา รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังอย่างไร้สาเหตุ เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แปลกจริง! ทั้งที่แสงแดดจากดวงอาทิตย์แผดเผาเช่นนี้ เขาส่ายหัวไปมา น่าจะคิดไปเอง หันหน้าไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะกำชับนาง
“เจ้าหนู ตามข้าเอาไว้ เขาขุยซานมีพื้นที่ซับซ้อน หากไม่มีคนพาเดินจะหลงทางได้ง่าย” เขาพูดด้วยท่าทีของคนที่ผ่านมาก่อน “หากไม่ใช่ว่าข้าอาศัยอยู่ที่นี่หลายสิบปีก็คงไม่ชำนาญพื้นที่เช่นนี้ พวกเราเพียงแค่เดินตรงไปเรื่อยๆ ทางทิศตะวันออกก็จะสามารถเดินไปถึงตลาดได้”
“รู้แล้ว” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนที่จะยื่นมือดึงคนบางคนกลับมา
“ทางนี้! ทางนั้นทิศตะวันตก” ไหนบอกว่ารู้จักทางไง
ไป๋อวี้ “…”
“แค่ก คือ…” ไป๋อวี้หน้าตึงไปทีหนึ่งก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม ทำราวกับว่าไม่เคยเดินผิดทาง “เจ้าได้เอาถุงที่ข้าบอกให้เอามาด้วยไหม”
“อันนี้?” อวิ๋นเจี่ยวโบกถุงเล็กเท่าฝ่ามือ ก่อนจะถาม “เอามาทำอะไร”
“ก็ต้องเอามาใส่เสบียงสิ”
“…” อวิ๋นเจี่ยวอึ้ง เล็กขนาดนี้? ใส่ได้แค่หมั่นโถวหนึ่งลูกเท่านั้นมั้ง
“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว!” ไป๋อวี้ยิ้มด้วยความได้ใจเล็กน้อย ชี้ไปยังถุงในมือของนางพร้อมพูด “นี่เป็นถุงเฉียนคุน ถึงแม้ภายนอกจากดูเป็นถุงขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ในนั้นมีข่ายพลังเฉียนคุน อย่างน้อยสามารถบรรจุได้หลายร้อยจินข้าวสาร ถุงนี้เป็นสมบัติของอาราม อาจารย์ของข้าเป็นคนให้ข้ามา เจ้าต้องเก็บให้ดี”
อวิ๋นเจี่ยวมองถุงใบเล็กในมืออย่างตะลึงเล็กน้อย ถุงเฉียนคุน? เหมือนกับถุงมิติในละครโทรทัศน์ ระดับเทคโนโลยีของโลกใบนี้ไปถึงขั้นที่สามารถพับมิติใดก็ได้แล้วเหรอ ทำได้อย่างไรกัน นางพลิกดูไปมาอย่างละเอียด แต่ก็ดูไม่ออกว่ามันคือหลักการอะไร เทพแห่งการเรียนรู้สึกเสียดายที่ตอนมหาวิทยาลัยไม่เลือกเรียนวิชาฟิสิกส์ นี่คงเป็นการค้นพบระดับรางวัลโนเบลเป็นแน่
คนโบราณว่าไว้ไม่ผิด ความรู้เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ จะรู้สึกเสียใจว่าที่เรียนมามันน้อยเกินไป อืม รอนางกลับไป ยังสามารถอ่านตำราได้อีกสิบเล่ม!
คราวนี้ชายแก่พานางเดินไปอีกทาง อาจเป็นเพราะคนละทิศทาง ป่าไม้ทางนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากพายุเมื่อหลายเดือนก่อน ตามทางเป็นทิวทัศน์ของต้นไม้เขียวขจี ไม่รู้เป็นเพราะว่าต้นไม้บังแสงอาทิตย์ไปมากหรือเป็นเพราะว่าเป็นเวลาค่อนข้างมืดแล้ว ยิ่งเดินยิ่งมืดราวกับเป็นเวลาตะวันลับฟ้า
ไป๋อวี้ที่เดินอยู่ข้างหน้าราวกับรู้สึกผิดปกติ มองไปรอบข้าง อดไม่ได้ที่จะตัวสะท้าน ยื่นมือออกไปสะกิดอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าหนู เจ้ารู้สึกไหมว่าอากาศจู่ๆ ก็หนาวขึ้นมา”
อวิ๋นเจี่ยวมองไปรอบข้างก่อนจะชะงักเท้า สายตามองไปยังต้นไม้โบราณที่ใหญ่มหึมาบริเวณด้านหน้า
“มีอะไรเหรอ” ชายแก่มองตามสายตาของนาง เสียดายที่เขาเห็นเพียงแต่กิ่งก้านของต้นไม้นั้น “ตรงนั้นมีอะไร เจ้าเห็นอะไรใช่ไหม” นึกถึงตาทิพย์ของนาง เขารู้สึกเย็นวูบขึ้นมาภายในใจ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “ที่…ที่นี่มีผีเหรอ”
อวิ๋นเจี่ยวมุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า สักพักถึงจะชี้นิ้วไปยังกิ่งไม้ที่อยู่บนหัว และเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า “อืม ผีสาวที่ปีนต้นไม้ปีนไปได้แค่ครึ่งเดียว สุดท้ายขาติดกำลังดิ้นออกมานั่น”
ไป๋อวี้ที่อึ้งไป “…”
ผีสาวที่อยากจะกระโดดลงมาหลอกคน “…”
เอ็มเอ็มพี!
[1] เอ็มเอ็มพี หมายถึง อักษรย่อยอดนิยมที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตของชาวจีน ซึ่งเป็นคำด่าในภาษาท้องถิ่นจีนเสฉวน