ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 180 ลูกเสวียนเหมิน
ราชาซิวหลิงค่อนข้างเพิ่งพาได้ วันรุ่งขึ้นหลังจากที่อวิ๋นเจี่ยวกลับถึงชิงหยาง เขาก็เรียกตัววิญญาณที่แอบลักลอบเข้าเมืองโยวหลิงกลับไป พร้อมกับสืบค้นเรื่องราวต่างๆ และพอที่จะคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้
เรื่องพลังชีวิตเป็นฝีมือของเสิ้งหวน จุดประสงค์เพื่อเลี้ยงอสูรกลืนนภา ถึงแม้อสูรกลืนนภาจะอสูรโบราณ แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังไม่ฉลาดมาก ไม่อาจอยู่อาศัยในยมโลกได้นาน ดังนั้นเสิ้งหวนจึงรวบรวมพลังชีวิตของคนเป็น เพื่อลดผลกระทบของพลังวิญญาณในยมโลกที่มีต่ออสูรกลืนนภา ให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ในยมโลกต่อไปได้
ตอนแรกเขายังไม่ได้มีการกระทำที่เกินเหตุ เพียงแต่แอบรวบรวมพลังชีวิตบางส่วนอย่างเงียบๆ ไม่ได้ให้ดึงไปจนหมด แต่ต่อมาอสูรกลืนนภายิ่งกินยิ่งมาก อีกทั้งกำลังจะเติบใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องถูกเปิดโปง เขาจึงเลือกเมืองผีอื่นในการรวบรวมพลังชีวิต อีกทั้งยังปลอมตัวเป็นหานซูออกคำสั่งเช่นนั้นออกมา
ต่อมาถูกอวิ๋นเจี่ยวทำเสียแผน ในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนั้น เขาจึงทำได้เพียงให้อสูรกลืนนภากินวิญญาณทั้งเมืองของราชาซิวหลิง เพื่อเร่งการเติบโตของมัน จากนั้นหนีกลับไปยังโลกปีศาจ
ส่วนเขาได้อสูรกลืนนภามาได้อย่างไร อีกทั้งรายละเอียดต่างๆ คงต้องถามเสิ้นหวงเอาแล้ว เพียงแต่เขาเสียสติไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับาทำใจได้เมื่อไร ดังนั้นเรื่องจึงติดอยู่ตรงนี้
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ การสืบเรื่องของเมืองซิวหลิงในครั้งนี้ ทำให้เธอมีความรู้สึกถูกภัยคุกคามอย่างไม่เคยมีมาก่อน เธอเคยถามอาจารย์ปู่ว่าเสิ้งหวนมีพลังระดับไหน เขาถึงสามารถหลอกยมโลกเช่นนี้ อาจารย์ปู่ลังเลเล็กน้อยก่อนจะให้คำตอบว่าเก่งกาจกว่ายมราชซิวหลิง
เธอยังถามอาจารย์อาหยวน รู้มาว่ายมราชซิวหลิงมีพลังระดับใกล้ถึงเทพผี สามารถบอกได้ว่าทั้งยมโลก นอกจากราชายมโลกแล้ว คงไม่มีใครที่จะเป็นศัตรูกับเขาได้ แม้แต่ท่านเทพอย่างอาจารย์อาหยวนเจียง คิดจะเอาชนะยามราชก็เป็นเรื่องยาก แต่เสิ้งหวนกลับอยู่ในระดับเหนือกว่า
ดังนั้นตอนที่อยู่โลกปีศาจ หากไม่ใช่เขาสติหลุดไปเองจนไม่อาจต้านทานได้ พวกเขาคงจะรับมือไม่ไหว สุดท้ายคงต้องเป็นอาจารย์ปู่ที่ออกมือ
อวิ๋นเจี่ยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าโลกมนุษย์น่าอนาถเล็กน้อย ในปัจจุบันนี้ มีเพียงเสวียนเหมินเท่านั้นที่มีกำลังในการต่อสู้ ส่วนในลูกศิษย์เสวียนเหมิน คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงก็มีเพียงเหล่าเจ้าสำนักสวีในสำนักเทียนซือเท่านั้น ความสามารถของพวกเขาอวิ๋นเจี่ยวรู้ดีที่สุด…ฮึ! ไม่ผ่านเกณฑ์เลยสักคน
นั่นก็หมายความว่า เพื่อนบ้านทั้งสองของโลกมนุษย์ โลกปีศาจและยมโลก พวกเขาถือเป็นบุคคลผู้ชั้นล่างสุดที่มีความสามารถต่ำสุด หากไม่ใช่เพราะบนโลกมนุษย์มีอาจารย์ปู่อยู่ ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ พวกเขาคงได้ตายกันหมด ในฐานะที่เป็นชนชั้นล่างสุดนั้น เธอเป็นกังวลกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างยิ่ง เพราะจากบทเรียนประวัติศาสตร์หลายพันปีที่ผ่านมา หากล้าหลังก็จะตกเป็นเป้าโจมตี ตกเป็นเป้าโจมตียังไม่เท่าไร ในฐานะเทพแห่งการเรียนตั้งแต่เด็กจนโต เธอไม่อนุญาตในความล้าหลัง
ถึงแม้เรื่องนี้ยังมีส่วนที่ไม่ชัดเจน แต่เธอก็ยังนำเรื่องทั้งหมดแจ้งต่อสำนักเทียนซือ เพื่อให้เสวียนเหมินตระหนักถึงเรื่องนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจในโลกปีศาจยังสามารถฝึกฝนจนแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ลูกศิษย์เสวียนเหมินทำไมจะทำไม่ได้
อาจารย์อาหยวนเคยบอกเอาไว้ว่าสมัยพวกเขา การเดินทางในสามโลกไม่ใช่ปัญหาอะไร หากพูดกันจากส่เหตุหลักก็คือ ความสามารถมีไม่พอ ข้อสอบทำน้อยไป!
เธอตัดสินใจว่าอีกสองสามวันจะหารือกับเจ้าสำนักสวี ถึงเวลาเพิ่มความเข้มงวดในด้านการศึกษาของเสวียนเหมินแล้ว มีเพียงการปฏิบัติจริงถึงจะสามารถยกระดับความพัฒนาของทุกคนได้ ถึงจะสามารถหลุดจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้ และมีสิทธิในการพูดในสามโลก
อืม ถึงเวลเปิดห้องเรียนแล้ว!
(╰_╯)و̑̑
ไม่ได้เป็นเพราะสำนักใช้เงินเร็วอย่างแน่นอน!
อวิ๋นเจี่ยวยกพู่กันขึ้นเตรียมเขียนแผนการหาเงิน…เอ้ย! แผนการสอนในอีกห้าปีข้างหน้า เงยหน้าขึ้นพบกับชายแก่ที่เกาะอยู่ขอบหน้าต่าง กำลังมองเธออย่างน้อยใจ
“ทำไม” อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะถามขึ้น “ส่งการบ้านหรือว่าท้องอืด?”
ชายแก่ปากกระตุก สายตายิ่งน้อยใจ ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าหนู เจ้าช่างใจร้าย ไหนบอกว่าจะรออยู่ที่ยมโลก แต่เจ้ากลับแอบย่องกลับพร้อมอาจารย์ปู่ ไหนคุณธรมระหว่างสำนัก ไหนไม่ทิ้งกัน เจ้าช่างทำให้ข้าผิดหวัง!”
“ไม่ได้เหลือข้าวไว้ให้ท่านแล้วหรือ” อวิ๋นเจี่ยวอย่างกลอกตา
“นั่นเรียกเหลือหรือ?!” ชายแก่ลุกขึ้นยืน ก่อนจะตบขอบหน้าต่างแล้วพูดว่า “นั่นเรียกเหลือแค่ข้าว มีใครเหลือข้าวคือเหลือแค่ข่าวเปล่าบ้าง” อีกทั้งยังมีแค่ถ้วนเดียว! ถ้วยเดียว! “เจ้าหนู หัวใจเจ้าไม่เจ็บหรือไง”
“เรื่องนี้ท่านต้องไปถามอาจารย์ปู่!” อวิ๋นเจี่ยวพลางเขียนแผนการของตนเอง พลางคอย “ก่อนกินข้าว ข้าบอกแล้วว่าต้องเหลือข้าวให้ท่าน แต่อาจารย์ปู่ไม่ระวัง ได้ยินผิดไป เหลือไว้แค่ข้าวเปล่า ข้าก็ไม่มีวิธี!”
“เจ้าตัดคำว่าไม่ระวังทิ้งไปได้หรือ” ชายแก่ทำสีหน้าดูถูก ไม่! ควรจะตัดคำผิดทิ้งไปให้หมด! เขาสาบานได้ว่าอาจารย์ปู่ต้องจงใจอย่างแน่นอน แน่นอน! “เจ้าหนู หากเจ้าตั้งใจจะเหลือไว้ให้ข้า เจ้าไม่รู้จักแยกออกมาล่วงหน้าหรือ”
“ล่วงหน้า?” อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้นมา “ล่วงหน้าจะเรียกว่าเหลือหรือ”
“เจ้าหนู…” ชายแก่อยากจะร้องไห้ ชี้ไปยังรอยย่นบนหน้าตัวเอง “ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว เจ้าทนดูข้ากินข้าวเปล่าได้หรือ อย่าลืมว่าตอนนั้นใครเป็นคนให้เจ้าอยู่ที่นี่ ใครเป็นคนพาเจ้าเข้าทางเต๋า”
“อาจารย์ปู่!” เธอตอบ
ชายแก่: “…”
ฉึบ! โดนมีดปักอก
“เจ้าหนู เจ้า…”
“พอเถอะๆ คราวต่อไปจะเหลือกับข้าวไว้ให้ท่านด้วย!” เธอกุมขมับ สงสัยอย่างมากว่าตนเองไม่ได้ดูแลคนแก่ แต่กำลังดูแลลูก! แต่ละคนล้วนมีนิสัยเช่นนี้ “ท่านมาข้าทำไมกัแน่”
“อ่อ” เมื่อได้ยิรว่าเจ้าหนูยอมตกลง ชายแก่จึงรีบเปลี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เขาชี้ไปยังด้านหลัง “มีคนปัญญาอ่อนมาหาเจ้า”
ปัญญาอ่อน?
“ใคร” ชายแก่ไม่เคยว่าใครเช่นนี้
“ไม่เคยเจอ เมื่อกี้ยังเดินตามหลังข้าอยู่เลย…” เขาราวกับเพิ่งสังเหตว่านด้านหลังหายไปแล้ว ยื่นคอยาวมองหาร่างของอีกฝ่าย ทันใดนั้นโบกมืออย่างแรง พร้อมตะโกน “เฮ้ย คนนั้นนะ! ไม่ทางนั้น ทางนี้ๆ! เฮ้อ ทางแค่นี้ยังเดินหลงได้!”
นาทีถัดมา เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก เพียงชั่วครู่ หน้าประตูทางข้าวก็ปรากฏร่างในชุดแดงเข้ม พร้อมกับใบหน้าอันงดงาม เมื่อเห็นเธอ ดวงตาของอีกฝ่ายลุกวาวขึ้นในทันที ก่อนจะอ้าปากพูดอย่างตื่นเต้น “อั๊ยยะ! ข้าหาเจ้าเจอเสียที!”
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกใจหล่นวูบ สีหน้าดำทะมึน
ลูกคนที่สามมาแล้ว!