ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 219 ใช้ประโยชน์จากขยะ
เนื่องจากข่ายพลังคุ้มครองภูผา ลูกศิษย์สำนักเทียนซือจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนประชาชนนอกเมืองบางส่วนได้รับผลกระทบจากสายฟ้า แต่เนื่องจากวิ่งหนีได้รวดเร็ว อีกทั้งรักษาได้ทันท่วงที ทำให้ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เมื่อเทียบกันแล้ว คนที่บาดเจ็บสาหัสที่สุดคือถังอี้
ถึงแม้เขาจะหลบหางมังกรได้ทัน ถูกแค่แรงกระแทกทำให้ร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้า ถึงแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่กลับกระดูกขาหัก
-_-|||
อย่างน้อยก็เป็นผู้ที่เอาชนะเผ่าพันธุ์มังกร เห็นแก่ในฐานะที่เขาเป็นนายท่านตระกูลถัง ท่านชางจากหุบเขาหมอจึงอาสาต่อกระดูกให้เขาเอง
ภัยพิบัติครั้งหนึ่งจบลงอย่างแทบจะไร้ผู้บาดเจ็บ ไม่เพียงแต่เหล่าเจ้าสำนัก แม้แต่ลูกศิษย์ด้านล่างล้วนรู้สึกเหลือเชื่อ อันที่จริงแล้วท่านเทพโลกบนก็ไม่ได้เก่งกาจเหมือนในจินตนาการ
อีกทั้งท่าทางยังไม่ค่อยฉลาดอีกด้วย
ปัญหาในตอนนี้คือ…ซากมังกรนี้จะทำอย่างไร
เจ้าสำนักสวีมองดูตำหนักใหญ่ที่ถูกพังทลายไปครึ่งหนึ่ง การซ่อมแซมตำหนักถือเป็นงานใหญ่ อีกทั้งมังกรตัวนี้ยังเป็นร่างเทพ บนตัวยังคงหลงเหลือพลังเทพ หากทิ้งไว้เช่นนี้ นอกจากจะกินพื้นที่แล้ว ยังจะส่งผลกระทบต่อพลังลมปราณรอบด้านอีกด้วย
เขาหันไปมองเหล่าเจ้าสำนักด้านหลัง “สหายทุกท่าน ซากมังกรนี้ไม่อาจทิ้งไว้เช่นนี้ได้ พวกท่านว่าจะขน…” พูดยังไม่ทันจบ เขาก็สบตาเข้ากับดวงตาที่ลุกวาวหลายคู่ อีกฝ่ายราวกับกำลังรอประโยคนี้ของเขาอยู่ จากนั้นพวกเขาต่างเสนอความคิดเห็นออกมา
อาจารย์ห้องวิชาอาวุธเสนอ “อย่างอื่นข้าไม่พูด ข้าว่าเกล็ดมังกรและกระดูกมังกร สามารถนำมาให้ห้องวิชาอาวุธจัดการได้! แค่มีสองสิ่งนี้ ข้ารับรองว่าจะนำเหล่าลูกศิษย์หลอมอาวุธเทพออกมาให้ได้!” ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน!
อาจารย์ห้องวิชายันต์เสนอ “ใช่ เลือดมังกรนี้ก็ไม่เลว มอบให้ห้องวิชายันต์พอดี เทียบกับหมึกแดง เลือดมังกรอุดมไปด้วยพลังเทพ มีโอกาสเขียนยันต์สีทองออกมาได้มากกว่า ลูกศิษย์ห้องข้าขาดแค่ก้าวนี้เท่านั้น!”
อาจารย์ห้องวิชาแพทย์เสนอ ”เส้นชีพจรมังกรก็ไม่เลว สามารถนำมาศึกษาการเปลี่ยนแปลงของเส้นชีพจรได้ อีกทั้งยังสามารถนำมาหลอมยา หลอมออกมาหลายร้อยขวดได้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
อาจารย์ห้องวิชาข่ายพลังเสนอ “เขามังกร หนวดมังกร และกรงเล็บมังกรพวกนี้ก็อย่าสิ้นเปลือง สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาเป็นตาข่ายพลัง ทำให้ข่ายพลังยกระดับขึ้นได้ มอบให้ห้องข่ายพลัง ข้าจะคืนข่ายพลังคุ้มครองภูผาให้สิบอัน”
อาจารย์ห้องวิชาทำนายเสนอ “อย่ามัวรีรออยู่เลย อาศัยที่มังกรนี้ยังตัวอุ่นอยู่ ข้าต้องไปรวบรวมพลังมังกรที่หลงเหลือเสียหน่อย ไม่แน่ว่าจะทำยันต์เสริมดวงอะไรได้บ้าง หากเย็นก็ใช้ไม่ได้แล้ว”
เจ้าสำนักสวี “…”
เดี๋ยว! ข้าแค่อยากให้พวกท่านช่วยขนย้ายออกไป ไม่ได้อยากให้พวกท่านชำแหละซากมังกร! แม้แต่ลมหายใจก็ไม่เว้น พวกท่านช่างโหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน อย่าลืมว่านั่นคือมังกร! ทำเช่นนี้ช่างเกินไปแล้ว!
แต่ว่าเจ้าสำนักแต่ละคนเตรียมที่จะเริ่มลงมือแล้ว ดวงตาของพวกเขาฉายแววตื่นเต้น
เจ้าสำนักสวีมุมปากกระตุก ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไป พร้อมกับห้ามปราม
“เดี๋ยวก่อน! สหายทุกท่านอย่ารีบร้อน ไปเรียกเล่อจวินมา เขาเพิ่งได้อาวุธเทพไป หั่นง่าย!”
“…”
ดังนั้นมังกรยักษ์หนึ่งตัวจึงกลายเป็นคลังวัสดุในการฝึกฝนของโรงเรียนเสวียนเหมินไปเสียเช่นนี้ เหล่าเจ้าสำนักยังคงหารือกฎระเบียบออกมา กำหนดให้ลูกศิษย์สามอันดับแรกในการสอบทุกเดือนถึงจะมีสิทธิในการยื่นขอวัสดุเหล่านี้ เพื่อเป็นการยกระดับความกระตือรือร้นในการทำข้อสอบของทุกคน อืม ไม่ได้เป็นเพราะอยากออกข้อสอบอีกหลายชุดอย่างแน่นอน
เหล่าลูกศิษย์ที่มุงดู “…” ที่แท้พวกท่านก็เป็นเช่นนี้
( ̄△ ̄;)
มองดูมังกรยักษ์ถูกแยกชิ้นส่วนจนเรียบร้อย กลับพบว่ามีอีกหนึ่งปัญหา…เนื้อมังกรไม่มีคนเอา! เนื้อนี้ไม่เหมาะกับการหลอมอาวุธ ใช้วาดยันต์ก็ไม่ได้ ข่ายพลัง หรือทำนายก็ยิ่งไม่ได้ใช้ อีกทั้งมังกรตัวนี้ยังเนื้อเยอะอีก
ในขณะที่เหล่าเจ้าสำนักกำลังครุ่นคิดหาสถานที่ฝังนั้น อวิ๋นเจี่ยวกลับยกมือขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “หรือไม่…ให้ข้าชิ้นหนึ่ง?”
“…”
อาจารย์ปู่ คืนนี้กินเนื้อมังกรไหม
เยี่ยยวน “…”
ชายแก่ “…”
…
สุดท้ายอวิ๋นเจี่ยวก็ฝังเนื้อมังกรกองนั้นทิ้งไป หนึ่งคือ ชายแก่บอกว่าตนเองกินไม่ลง สองคือมันเป็นมังกรหิน เนื้อของมันทั้งแห้งทั้งฝืดคอ อาจารย์ปู่ใช้คิ้วที่ขมวดมุ่นแสดงออกถึงความรังเกียจในเนื้อมังกรอย่างยิ่ง
แต่อิ้งหลุนกลับตื่นเต้นอย่างมาก เขาเสนอตัวจะเป็นคนจัดการเนื้อมังกรเหล่านี้ จากนั้นเขาก็ลากกองเนื้อที่สูงเท่าภูเขาไปยังหลังเขา ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใด เนื้อมังกรที่ร้อยปีก็ไม่เน่า วันที่สองกลับเน่าจะหมด
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ถามอิ้งหลุนว่าเขาเอาเนื้อมังกรไปทำอะไร เพียงแต่หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ผักกาดขาว ไชเท้าและมะเขือเทศที่ชายแก่เก็บกลับมาจากหลังเขาล้วนเต็มไปด้วยพลังเทพ อีกทั้งความเข้มข้นนั้น พอๆ กับผลไม้สำหรับหลอมยาที่ออกผลทุกสามพันปีที่อาจารย์อานำลงมาไม่มีผิด
ภายใต้ความสงสัยของอวิ๋นเจี่ยว ทำให้นางเดินไปดูเหตุการณ์ที่หลังเขา ทันทีที่นางย่างเท้าเข้าไปในสวนผัก ก็พบว่าเหนือพื้นที่กว้างนั้น มีร่างสีเหลืองเข้มขนาดใหญ่กำลังพ่นพลังเทพลงสวนผักอย่างขะมักเขม้น
อวิ๋นเจี่ยว “…”
“มองอะไร?!” ร่างใหญ่นั้นเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างหงุดหงิด “ไม่เคยเห็นวิญญาณมังกรปลูกผักหรือ”
“…ไม่เคยเห็น!” นางตอบตามความจริง
มังกรนั้นโมโหขึ้นมาในทันใด ก่อนจะพ่นลมหายใจหนักมายังนาง “หึ เจ้ามดต่ำต้อย หากยังมองอีกข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา!”
“…”
“เฟิงเสี่ยวหวงอย่าเสียมารยาท!” ทันทีที่มันข่มขู่จบ อิ้งหลุนก็เดินเข้ามา
มังกรยักษ์ตัวสั่นเทา ก่อนจะหดกลับไปในทันที
อิ้งหลุนยิ้มให้อวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะพูดว่า “ศิษย์หลานตัวน้อย เจ้ามาแล้วหรือ อยากจะเก็บแตงกวาหรือว่าแตงโม หรือว่าเครื่องเคียงน้อยไป อยากได้กระเทียมหรือไม่? ข้าจะบอกเจ้า กระเทียมช่วงนี้…”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อวิ๋นเจี่ยวพูดขัด ก่อนจะชี้ไปยังร่างมังกรที่กึ่งโปร่งใส
“อ่อ นี่คือวิญญาณของมังกรตัวที่เจ้าให้ข้ามา!” อิ้งหลุนตอบ “ข้าก็รู้ ร่างของเขามีพลังเทพมหาศาล เดิมทีข้าคิดว่าเอามาทำเป็นปุ๋ยก็ไม่เลว แต่ว่าดันมีพลังมากเกินไป ทำให้ผักเติบโตไวมาก สหายไป๋ไม่อาจมาช่วยได้ทุกวัน ดังนั้นข้าจึงดึงวิญญาณมังกรของมันออกมา ร่างของมันใหญ่ สามารถช่วยทำงานได้บ้าง”
พูดจบ ก็หันไปกำชับวิญญาณมังกร “เฟิงเสี่ยวหวง! ศิษย์หลานตัวน้อยเป็นเจ้าของที่นี่ นางเป็นแขก ห้ามเสียมารยาท ถึงเวลาหากศิษย์หลานตัวน้อยไม่ให้เจ้าอยู่ เจ้าคงไม่มีแม้แต่ที่ร้องไห้ อีกอย่าง ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ผักชี กุยช่าย ต้นหอม และขิงเป็นผักที่ชอบความเย็น เจ้าต้องคอยบังแดดให้พวกมัน เจ้ามัวแต่มาบังแตงกวา มะเขือเทศทำไมกัน เช่นนี้เจ้าคงปลูกผักที่ดีออกมาไม่ได้”
“ใช่ๆๆ ! ใต้เท้า!” วิญญาณมังกรสั่นสะท้าน ร่างยักษ์ของมันเคลื่อนย้ายไปยังสวนทางด้านซ้ายทันที มันขดตัวราวกับยากันยุง บดบังแสงแดดที่สาดส่องลงมาจากด้านบน
อวิ๋นเจี่ยวมองดูร่างวิญญาณของมันอย่างไร้คำพูด “ร่างของมันตอนนี้…” เป็นอย่างไร ทำไมวิญญาณถึงมีเงา
“อ่อ ข้าให้พลังชีวิตบางส่วนกับมัน” อิ้งหลุนอธิบาย “แต่ว่ามันไม่มีร่างกาย ดังนั้นจึงอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ไม่ถือเป็นวิญญาณที่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้เป็นวิญญาณของสิ่งมีชีวิต ใครใช้ให้มันเป็นมังกรกัน เช่นนี้ก็ดี กลางวันกลางคืนล้วนสามารถปรากฏตัวช่วยเหลือได้! ข้าชอบอย่างมาก อีกทั้งยังตั้งชื่อให้มันว่าเฟิงเสี่ยวหวง ไพเราะดีใช่หรือไม่! ข้าจะบอกเจ้า…”
ในขณะที่อิ้งหลุนกำลังพูดนั้น อวิ๋นเจี่ยวมองดูวิญญาณมังกรที่ขดตัวราวกับยากันยุงอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ สำนักเทียนซือแค่ลงมือกับซากของมัน แต่อิ้งหลุนไม่ปล่อยแม้กระทั่งวิญญาณ เขาเป็นปีศาจที่แท้จริง!