ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 247 เหตุบังเกิดในเมืองหมิ่นเฟิน
“ศิษย์หลานทั้งสองเหมือนดั่งที่ศิษย์น้องเล็กว่าไว้…” หลงฉางเดินขึ้นหน้า ยื่นมือออกมาราวกับต้องการทำอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น ด้านนอกกลับเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาราวกับแผ่นดินไหว เมืองหมิ่นเฟินสั่นไหวทั้งเมือง มีเสียงดังก้องลอยมาจากระยะไกล โถงใหญ่ที่สว่างไสวในเดิมทีมีพลังวิญญาณจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ทันใดนั้นอบอวลอยู่ทั่วทั้งตำหนักใหญ่
หลงฉางสีหน้าเปลี่ยนไป คิ้วของเขาขมวดมุ่น “เมฆาปีศาจปะทุ!”
อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ต่างตกตะลึง ในขณะที่กำลังคิดจะถามไถ่สถานการณ์ ก็พบลูกศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “เจ้าเมือง ผนึกด้านตะวันตกเกิดความผิดปกติ เมฆาปีศาจแผ่ขยายไปถึงนอกเมืองกว่าสิบลี้แล้ว”
“สหายทั้งหมดรีบเดินทางไปขับไล่” หลงฉางออกคำสั่ง
“ขอรับ!” ลูกศิษย์คนนั้นตอบรับ ก่อนจะหายตัวออกไป ไม่ถึงชั่วครู่ คนในเมืองต่างชุลมุน พวกนางสามารถพบเห็นลูกศิษย์จำนวนมากน้อยมุ่งหน้าไปยังทิศทางตะวันตก
หลงฉางเรียกดาบสวรรค์ออกมา กำลังจะเดินทางออกไป
“อาจารย์อาหลง” ชายแก่และอวิ๋นเจี่ยวสบตากัน ก่อนจะเดินขึ้นหน้าแล้วพูดขึ้น “พวกข้าไปพร้อมกับท่าน เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
หลงฉางผงะ สักพักจึงได้พยักหน้า “ได้”
พูดจบเขาก็ออกจากประตูไป จากนั้นเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมา ทันใดนั้นแสงสีขาวส่องสว่างขึ้น ห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณสลายไปจนหมดสิ้น กลับสู่สภาพสว่างไสวเหมือนเคย เขาจึงได้เก็บมือกลับไปอย่างพึงพอใจ
คนทั้งสองที่เดินตามออกไปต่างผงะเล็กน้อย ห้องโถงไม่มีคนอยู่ อาจารย์อาหลงจะขับไล่พลังวิญญาณด้านในทำไมกัน
ยังไม่ทันได้ครุ่นคิด หลงฉางก็ขี่ดาบมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกแล้ว
อวิ๋นเจี่ยวหยิบยันต์ตัวเบาออกมา ก่อนจะยื่นให้ชายแก่หนึ่งใบ จากนั้นติดให้อาจารย์ปู่ด้วย ถึงแม้อีกฝ่ายไม่ต้องการ
ทั้งสามคนจึงบินออกไปยังทิศตะวันตกพร้อมกัน
ผู้คนในเมืองราวกับคุ้นชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรวมตัวกันก่อน แต่ก็ยังคงมุ่งตรงไปยังทิศทางที่เกิดเหตุอย่างเป็นระเบียบ
พวกเขาบินไปไม่ถึงครึ่งเค่อ ก็พบเห็นท้องฟ้าบริเวณด้านหน้าดำมืด พลังปีศาจมีลักษณะสีดำสนิทราวกับน้ำตกกำลังแผ่ขยายเข้ามา มันราวกับสัตว์ร้ายสีดำที่กำลังกางกรงเล็บ พร้อมกลืนกินฟ้าดิน
นี่คือเมฆาปีศาจ!
อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ถึงแม้จะเคยเห็นพลังปีศาจตอนที่อยู่โลกมารแล้ว แต่ภาพตรงหน้าแตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง
ระดับพลังปีศาจที่นี่คนละระดับกับครั้งก่อนอย่างลิบลับ พลังปีศาจแยกโลกที่อยู่ด้านหน้าออกจากกัน ทางนี้คือยมโลกปกติ แต่อีกฝั่งกลับเป็นดินแดนสีดำสนิท
“พี่ไป๋ ศิษย์น้องอวิ๋น พวกเจ้ามาด้วยหรือ” เถิงสีบินเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขามากำจัดพลังปีศาจ แต่ว่าหานซูไม่ได้อยู่กับเขา คิดว่ายังคงพักฟื้นอยู่ในข่ายพลัง
“พี่สี!” ชายแก่ทักทาย
“พวกเจ้าอยู่ก็ดี” เถิงสียิ้มซื่อใส่คนทั้งสอง ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าปีนี้เป็นอะไร เมฆาปีศาจถึงได้ปะทุบ่อยครั้งกว่าปีก่อน ห่างจาก ‘วันกลืนปริวรรต’ อีกสองวัน แต่เมฆาปีศาจกลับปะทุถึงสี่ห้าครั้งแล้ว พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ช่วยเหลือได้พอดี”
“พี่สี ต้องทำอย่างไร” ชายแก่เป็นกังวลเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับพลังปีศาจ
“ตีให้สลายไปก็พอ” เถิงสีอธิบาย ในขณะที่กำลังจะอธิบายเพิ่มนั้น ด้านหน้ากลับมีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น เห็นเพียงบริเวณไม่ไกลนักมีแสงสีขาวส่องสว่างขึ้นราวกับม่านแสง มันตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ขัดขวางทางไปของเมฆาปีศาจสีดำที่กำลังแผ่ขยาย ตรงกลางของม่านแสง มีร่างหนึ่งขี่ดาบหยุดอยู่กลางอากาศ พลังเทพบริเวณรอบตัวไหลเวียนควบคุมม่านแสงขนาดใหญ่เอาไว้
คนนั้นคือหลงฉางที่บินอยู่ด้านหน้า
“เริ่มแล้ว!” เถิงสีชักมีดใหญ่ด้านหลังออกมา ก่อนจะหันมาพูดกับคนทั้งสาม “พี่ไป๋ สหายในเขตหมิ่นเฟินปกติจะแบ่งออกเป็นสองขบวน พวกเราก็แยกย้ายกัน ท่านตามขบวนทางด้านซ้ายไปก่อน”
ทั้งสองคนผงะ ก่อนจะพบว่าผู้คนโดยรอบแยกกันเป็นสองขบวนโดยอัตโนมัติ คนที่เพิ่งตามมาเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ คนหนึ่งไปทางซ้ายอีกคนไปทางขวา
ชายแก่ตอบรับ ก่อนจะบินไปทางซ้าย อวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านหลังจึงไปทางขวา แต่อาจารย์ปู่ที่อยู่ด้านหลังบินตามอวิ๋นเจี่ยวไปแบบไม่ต้องคิด
เถิงสีที่รอบินไปทางขวา “…”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายบินออกไปไกลแล้ว เถิงสีจึงจำใจต้องบินไปหาไป๋อวี้ทางซ้าย
ชายแก่ “…”
เดี๋ยว อาจารย์ปู่กับเจ้าหนูไปทางซ้ายหมดเลย เหลือเขาอยู่คนเดียวกับไก่อ่อนได้อย่างไร อย่างน้อยก็แบ่งคนที่มีฝีมือให้เขาสักคนสิ!
“ไปเถอะ พี่ไป๋” เสียดายที่ไม่ทันการเสียแล้ว ราวกับรังเกียจชายแก่บินช้า เถิงสีลากชายแก่ขึ้นมาก่อนจะบินไปยังขบวนทางซ้ายด้วยกัน
“…” ไม่ ปล่อยข้า ข้าเหมาะกับขบวนนั้นมากกว่า!
╲(゜ロ╲)(╱ロ゜)╱
อวิ๋นเจี่ยวเดินตามคนบนขบวนขวา ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าของเมฆาปีศาจ จนกระทั่งเวลานี้ นางถึงได้สัมผัสกับพลังปีศาจที่แท้จริง ถึงแม้ว่าด้านหน้าจะมีพลังของอาจารย์อาหลงต้านเอาไว้อยู่ แต่ความเย็นยะเยือกเข้าถึงกระดูกนั้นกลับพุ่งเข้าหน้าอย่างจัง ในนั้นราวกับปะปนไปด้วยความรู้สึกด้านลบอย่างความเจ็บปวด ความเหงา ความเย็นยะเยือก ความโหดเหี้ยมต่างๆ ทำให้คนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาภายในใจ
พลังของอาจารย์อาหลงราวกับเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับเมฆาปีศาจเอาไว้ส่วนใหญ่ มีเพียงพลังปีศาจบริเวณริมขอบเล็ดรอดออกมาเพียงเล็กน้อย ลูกศิษย์ในเมืองต่างใช้วิชาต่างๆ โจมตีพลังที่เล็ดรอดออกมาทั้งหลาย เมื่อพลังปีศาจถูกกำจัดไปจนหมด ตาข่ายพลังของอาจารย์หลงฉางจะหดตัวเล็กลง เพื่อรับรองความปลอดภัยของเหล่าลูกศิษย์
อวิ๋นเจี่ยวเกิดความเคารพต่ออาจารย์อาหลงขึ้นมาทันที พลังปีศาจมากมายเช่นนี้ แต่เขากลับต้านทานมันเอาไว้ได้ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าเขามีความแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าอาจารย์อาหยวนเจียง
อวิ๋นเจี่ยวหยิบยันต์สีทองออกมาแปะไว้บนตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเสริมการป้องกันรอบตัว ก่อนจะโยนยันต์สายฟ้าออกมาอีกหลายใบสลายพลังปีศาจโดยรอบ เพียงแต่พลังปีศาจยากต่อการรับมือ อีกทั้งไร้รูปร่าง วิชาจำนวนมากไม่อาจใช้กับมันได้
เดิมทีนางคิดว่าวิชาของเสวียนเหมินใช้ไม่ได้กับพลังปีศาจ แต่เมื่อหันกลับไปดู พบว่าคนอื่นก็พอกัน ต้องใช้การโจมตีถึงสิบกว่าครั้งจึงจะกำจัดพลังปีศาจจำนวนน้อยได้ เมื่อเทียบกับพลังปีศาจมหาศาลกลางอากาศถือว่าเล็กน้อยอย่างมาก
อย่างนี้ช้าเกินไป! อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว นางวางยันต์ในมือลง ก่อนจะเริ่มครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ยันต์ของนางมีจำกัด ตนเองก็ไม่สามารถโจมตีได้เพียงครั้งเดียว นอกจากมีวิธีอื่นที่ทำให้นางกำจัดพลังปีศาจนี้ได้เพียงครั้งเดียว มิเช่นนั้นยันต์จำนวนมากแค่ไหนก็เอาไม่อยู่
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด เสียงชายคุ้นหูดังขึ้น “เจ้า!”
ลูกศิษย์ที่กำลังโจมตีพลังปีศาจอยู่ด้านหน้าหันกลับมา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่พอใจปนระแวง “ ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”
“…”