ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 272 ถ่วงเวลา
หวาซู ไม่มีทีท่าอยากอธิบาย เขาหมุนมือขึ้น ทันใดนั้นแสงสีแดงพุ่งออกมาจากธงริ้วกายสิทธิ์ฟ้า เหล่าเทพที่จู่โจมเข้ามาถูกพลังกลุ่มนั้นกระแทกออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แม้แต่ท่านมหาเทพทั้งสามก็ต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ไป!” หวาซูใช้โอกาสนี้หนีไป ก่อนจากไปยังมองอวิ๋นเจี่ยวด้วยสายตามีนัย พร้อมทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ “ลูกศิษย์เสวียนเหมิน พวกเราต้องได้เจอกันอีก!”
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะหายลับไป อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องวันหลัง?!” มือของเธอเคลื่อนไหวผ่านข่ายพลังบนกระจกคุนหลุน “ครั้งนี้ก็ได้!”
พูดจบ ฝ่ายหวาซูที่ลอยขึ้นไปรู้สึกถึงพลังในร่างกายหายไป ก่อนจะล่วงลงมาจากกลางอากาศ
หวาซู: “…”
ท่านมหาเทพ: “…”
เหล่าเทพ: “…”
สำนักเทียนซือ: “…”
( ̄△ ̄;)
ทุกคนเงียบสงัดไปสามวินาที
เมื่อกี้…เกิดอะไรขึ้น
สุดท้ายหยวนเจียงและเหวินชิงที่สนิทกับอวิ๋นเจี่ยวมากกว่ารู้ตัวก่อน พวกเขาจู่โจมเข้าไป ก่อนจะสะกดหวาซูและพวกอยู่ที่เดิม
“หวาซู จุดประสงค์ของการกระทำของพวกเจ้าในวันนี้คืออะไร พวกเจ้ายังมีแผนการอะไรอีก” หยวนเจียงเดินขึ้นหน้าถาม จากการที่พวกเขายอมถอยไปอย่างไม่ลังเล จุดประสงค์ในตอนแรกอาจไม่ได้เพื่อกำจัดท่านมหาเทพทั้งสาม เพียงแต่บังเอิญเห็นพวกเขาใช้กระจกคุนหลุนจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
หวาซูมองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติหลังล่วงหล่นลงมาได้ เขาส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ “พวกท่านคิดว่า พวกข้ามีแผนการหลอกล่อพวกท่านลงมาโลกล่างเพียงเท่านี้หรือ”
ทุกคนต่างผงะไป ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเค้า สิงซีท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ครุ่นคิดอยู่สักพัก ทันใดนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป หรือว่า…
“จุดประสงค์ของเจ้าคือแดนสวรรค์!”
“เพิ่งจะรู้ตัวหรือ” หวาซูหัวเราะอย่างได้ใจ “เสียดายที่สายไปแล้ว นายน้อย…ไม่ ทานมหาเทพแห่งสวรรค์ตอนนี้คงทำสำเร็จไปนานแล้ว”
เหล่าเทพที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสีหน้าเปลี่ยนไป ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์พูดกับทุกคน “กลับแดนสวรรค์!” พูดจบเขาก็นำพาเหล่าเทพของตนเองจากไป
สีหน้าของสิงเหิงท่านมาหาเทประจิมสวรรค์เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน นางขี่เมฆหายลับไปทันที
“ท่านมหาเทพ!” หยวนเจียงหันไปมอง ท่านมาหาเทพบูรพาสวรรค์ ไม่คิดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของหวาซู จะเป็นการหลอกล่อให้ท่านมหาเทพทั้งสามฝ่ายออกจากแดนสวรรค์ เพื่อจะได้มีโอกาสบุกรุกเข้าไป อีกทั้งคนของพวกเขายังไม่ได้มาจากประจิมสวรรค์ อำนาจลับที่สามารถต่อกรกับสวรรค์ทั้งสามฝ่ายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
สีหน้าของท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ก็เคร่งเครียดเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับท่านมหาเทพอีกสองคนที่จากไปอย่างใจร้อน เขาสุขุมกว่าอย่างมาก เขาหันไปพูดกับหลงฉาง “เจ้าเมืองหลง แดนสวรรค์มีเรื่องด้วย พวกข้าไม่อาจอยู่ต่อ ส่วนเรื่องยมโลก ข้าคิดว่าเจ้าเมืองกระจ่างแล้ว พวกหวาซูมอบให้เจ้าเมืองตัดสิน พวกข้าขอตัวก่อน”
“ได้ ขอบคุณท่านมหาเทพ!” หลงฉางพยักหน้า ไม่มีทีท่าห้ามอีกฝ่าย
อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นไปส่งกระจกคุนหลุนในมือออกไป “กระจกของท่าน เชิญ!”
“ขอบคุณสหายอวิ๋นช่วยเหลือ” ท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ยื่นมือออกไปรับ ดอกบัวเมื่อกี้กลายเป็นกระจกปากั้วธรรมดา เขามองอวิ๋นเจี่ยวด้วยสายตาซับซ้อนราวกับจพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่อาจเกิดขึ้นในแดนสวรรค์ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นำพาเหล่าเทพและพวกหยวนเจียงจากไป
เมื่อเทียบกับการมาที่อลังการ ครั้งนี้พวกเขากลับจากไปอย่างรีบร้อย เหลือไว้เพียงคนของสำนักเทียนซือที่ทำหน้าสับสน และหวาซูที่ไม่อาจก่อเรื่องอะไรได้อีก
หลงฉางไม่ได้อยู่ต่อ เขาบอกลาอวิ๋นเจี่ยว จากนั้นเปิดประตูผีนำตัวเหล่าหวาซูกลับยมโลก
เจ้าสำนักสวีหันกลับไปมองตำหนักใหญ่ที่พังทลาย เขาถอนหายใจออกมา ดังนั้น…โลกสวรรค์ต้องมาพังตำหนักใหญ่พวกเขาในช่วงการประลองของทุกปีใช่หรือไม่
…
การเจรจาระหว่างสวรรค์และยมโลกเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น แต่ผลลัพธ์ถือว่าเป็นไปในทางที่ดี อย่างน้อยเรื่องของลั่วคาบหยวนกระจ่างแล้ว ส่วนโลกสวรรค์เกิดปัญหาภายในอะไรใหม่หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เสวียนเหมินและยมโลกต้องสนใจ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ท่านมหาเทพทั้งสามกลับไป แต่ราวกับว่าโลกสวรรค์จะวุ่นวายขึ้นมา ทำให้พวกเขาไม่มีเวลามาก่อเรื่องให้โลกมนุษย์และยมโลก ทั้งสองโลกจึงเงียบสงบอย่างมาก ในที่สุดสำนักเทียนซือก็จัดการประลองปีที่สองต่อได้เสียที
ครั้งนี้ชายแก่เรียกเหล่าวิญญาณขึ้นมาร่วมการประลองอย่างเปิดเผย ชายแก่และราชาซิวหลิงหารือร่วมกัน พร้อมจัดทำแผนการสำหรับการประลองของทั้งสองโลก อีกทั้งยังจัดการตัดเลือกยมทูตขึ้นมาพร้อมกัน ขั้นตอนการสอบไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่แยกการจัดลำดับระหว่างวิญญาณและลูกศิษย์เสวียนเหมิน
เมื่อข่าวนี้ออกไป ราชามารก็วิ่งออกมาขอเข้าร่วมด้วย เหล่ามารในโลกมารไม่ได้ขยับมานานแล้ว
ดังนั้นการประลองเสวียนเหมินธรรมดา กลายเป็นการแข่งขันนานาชาติระหว่างสามโลก อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้คัดค้านอะไร การแลกเปลี่ยนวิชายังมีความจำเป็นมาก
สุดท้ายการประลองครั้งนี้ดำเนินไปเป็นระยะเวลาสองเดือน ครั้งนี้พวกเขาเลือกอันดับหนึ่งของการประลองออกมาสามคน แต่ละโลกเลือกสามอันดับแรกออกมา
เสวียนเหมินมอบรางวัลให้แต่ละโลกเหมือนกัน อันดับหนึ่งของสามโลกได้รับข้อสอบรางวัลสูงเท่าตัวคน พร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่ง “ความตื้นตัน” ลงมา
ส่วนอวิ๋นเจี่ยวเริ่มลงมือเขียนแผนการรับสมัครลูกศิษย์ในเทอมต่อไปอย่างปราบปลื้มแล้ว เธอคิดจะรับสมัครลูกศิษย์แลกเปลี่ยนจากโลกมารและยมโลก เช่นนี้จะสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
“เจี่ยวเจี่ยว...” ในขณะที่กำลังเขียนแผนการ แผ่นหลังของเธอชนเข้ากับกำแพงอุ่น ใบหน้างดงามเกยอยู่บนไหล่ มือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายโอบเข้าที่เอวของเธอ
“อาจารย์ปู่?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ เธอดิ้นสองทีแต่ดื้นไม่หลุด จึงปล่อยให้อีกฝ่ายกอดไว้อย่างนั้น “เป็นอะไร ขนมกินหมดแล้ว”
“อืม” เขาตอบกลับ ลมหายใจร้อนระอุสาดอยู่ข้างแก้มของเธอ “อยากทำขนม…”
อวิ๋นเจี่ยวนิ่งไป “ก็ทำสิ” เมื่อวานเขานวดแป้งเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ
สายตาของเขามีบางอย่างแล่นผ่านไป ก่อนจะถูไถข้างคอของเธอ “…เจ้าทำ”
อวิ๋นเจี่ยวชะงักปลายพู่กัน ภายในใจรู้สึกแปลกประหลาด เธอวางพู่กันในมือลงและลุกขึ้นหันไปมองคนข้างหลังอย่างจริงจัง “อาจารย์ปู่…ระยะนี้เป็นอะไร” ปกติเขาไม่เคยมารบกวนตอนที่เธอทำงาน ถึงจะมาหาแต่ก็นั่งกินขนมอย่างเงียบสงบอยู่ด้านข้าง
“อะไร” เขาเอียงคอ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความฉงน ร่างกายเอนเอียงไปหาเธอด้วยความเคยชิน
อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือดันตัวของเขาเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วและกวาดตามองเขาขึ้นลง เธอรู้สึกว่าระยะนี้อาจารย์ปู่แปลกประหลาดไปราวกับ...ติดคนมากกว่าแต่ก่อน?
ถึงแม้หลังจากคบหากันแล้ว เขาไม่ชอบอยู่บนเจดีย์คนเดียว อีกทั้งชอบมาหาเธอเป็นครั้งครา ออดอ้อนบ้างให้ขนมบ้าง แต่เกาะติดตัวเธอยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบตอนนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อาจารย์ปู่…มีอะไรอยากคุยกับข้าหรือ” เธอถามอย่างเป็นห่วง
เยี่ยยวนไม่ตอบ เพียงแต่จ้องมองเธออย่างไม่กะพริบตาราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป มือที่กอดเธอไว้กระชับแน่นขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ เธออาจจะคิดมากไป ดังนั้นจึงดึงมือของอีกฝ่ายมาจูงไว้ “ไป…เราไปทำขนมกัน!”
“ได้”