ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 292 ช่วยเหลือเมืองอี้
“อาจารย์ ค่ายกลคุ้มเมืองของเมืองอี้ถูกทำลายแล้ว!” เจ้าสำนักสวีอุทานออกมาด้วยความตกใจ เห็นเพียงระหว่างหมอกสีฟ้าที่ถูกผ่าออกนั้น ค่ายกลคุ้มเมืองที่ปกป้องเมืองแห่งนี้สลายหายไป เมื่อไร้การต้านทานของค่ายกล หมอกสีฟ้ารอบด้านหลั่งไหลเข้าเมืองอย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนกของชาวบ้านลอยออกมาแต่ไกล
“วางค่ายกลช่วยคน!…เร็ว!” อวิ๋นเจี่ยวพูด ก่อนจะหันไปหาไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้าง “ชายแก่ ท่านตามข้ามา”
“อ่อๆ” ชายแก่พยักหน้าก่อนจะรีบเดินตามขึ้นไป เจ้าสำนักสวีกำลังสั่งการให้เจ้าสำนักและท่านอาวุโสวางค่ายกลรอบด้าน
อวิ๋นเจี่ยวหาตำแหน่งที่เข้าใกล้หมอกสีฟ้ามากที่สุด ก่อนจะหยิบธงค่ายกลผืนหนึ่งออกมาวางค่ายกลชั่วคราว ค่ายกลถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ชายแก่ถ่ายทอดพลังลมปราณกระตุ้นค่ายกล!” เธอหมดพลังแล้ว
“ได้!” ชายแก่ถ่ายทอดพลังลมปราณด้วยความเคยชิน เพียงชั่วพริบตาเดียว ใจกลางข่ายพลังสว่างขึ้น ก่อนจะแผ่ขยายไปด้านหน้าราวกับเปิดเป็นทางเดินสีขาวมุ่งตรงเข้าไปภายในหมอกสีฟ้าจนถึงตำแหน่งใจกลางเมือง
“นี่คือ…” ไป๋อวี้ผงะ
“ค่ายกลคุ้มครองชั่วคราวเท่านั้น” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย “เจ้าประคองค่ายกลนี้เอาไว้ ข้าให้ลูกศิษย์คนอื่นเข้าไปช่วยคน” หมอกสีฟ้ารอบด้านมีจำนวนมากเกินไป หากต้องการขับไล่ออกจากเมืองอี้ทั้งหมดต้องใช้ค่ายกลขนาดใหญ่ ซึ่งไม่อาจวางได้ในเวลาอันสั้น เวลานี้ค่ายกลคุ้มครองเมืองถูกทำลายไปแล้ว พวกเขาไม่มีเวลา ทำได้เพียงช่วยเหลือคนออกมาให้ได้เร็วที่สุด
อวิ๋นเจี่ยวกำชับเสร็จ เธอจึงหันไปสั่งการให้ลูกศิษย์เข้าไปรับคนภายในเมือง ก่อนจะเดินไปวางค่ายกลชนิดเดียวกันอีกหลายสิบแห่งในบริเวณใกล้เคียง พยายามช่วยเหลือผู้คนออกมาให้ได้มากที่สุด
เพียงชั่วครู่ ชาวบ้านจำนวนมากล้วนวิ่งหนีออกมาทางเส้นทางนั้น ใบหน้าของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อีกทั้งบางคนโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดถึงแม้เวลานี้จะวุ่นวายอย่างมาก แต่ลูกศิษย์แต่ละสำนักล้วนช่วยอพยพคนออกมา
เพียงแต่ผู้คนที่ถูกช่วยเหลือออกมาเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ผู้คนส่วนใหญ่ถูกกักขังอยู่ภายในเมืองอี้ อีกทั้งค่ายกลคุ้มครองภายในเมืองที่สลายหายไป ทำให้ภายในเมืองโกลาหลมากยิ่งขึ้น คนส่วนใหญ่ล้วนถูกแยกออกจากกัน
อวิ๋นเจี่ยวกำลังวางแผนวางค่ายกลจากหลากหลายทิศทาง เพื่อช่วยเหลือผู้คนออกมาจำนวนมาก สิงเหิงที่กลายร่างเป็นมังกรน้ำมองจ้องมายังอวิ๋นเจี่ยว เขาพูดออกมาอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้ากำลังทำอะไร เจ้ามีกำลังเช่นนั้น เหตุใดจึงทำเรื่องแบบนี้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ เจ้ารีบเข้าไปในดินแดนลับเสีย!” อาจรู้ตัวว่าตนเองจบสิ้นแล้ว คำพูดของสิงเหิงจึงเต็มไปด้วยความโกรธ ราวกับยอมรับที่ตนเองพ่ายแพ้ให้กับคนเช่นนี้ไม่ได้
“เจ้าทำได้ใช่หรือไม่ เจ้าเข้าไปในดินแดนลับได้แน่ เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าไป เหตุใดต้องสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านี้!”
อวิ๋นเจี่ยวไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเหมือนเคย อีกทั้งไม่แม้แต่จะชายตามองอีกฝ่าย
“เพราะข้าเป็นมนุษย์เหมือนกัน! เป็นมนุษย์ก็ต้องทำเรื่องที่มนุษย์ทำกัน!”
สิงเหิงผงะไป ก่อนจะนึกคำก่นด่าที่อีกฝ่ายเคยพูดออกมา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าคำพูดนั้นไม่ได้ออกมาจากอารมณ์โกรธ แต่อีกฝ่ายพูดเรื่องจริงพวกเขาเห็นมนุษย์เป็นเพียงมดที่รังแกได้ง่าย ดังนั้นภายในสายตาของนางคนของดินแดนสวรรค์จึงไม่แม้แต่จะเป็นมนุษย์เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่สามารถกำจัดทิ้งได้
ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของเธอรู้สึกว่างเปล่า ปรากฏความรู้สึกเสียดสีที่พูดไม่ออกบางอย่าง เหล่าเทพเซียนอย่างพวกเขาไม่เคยเห็นมนุษย์อยู่ภายในสายตา แต่สิ่งที่น่าตลกคือ อีกฝ่ายก็เหมือนไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในตา
สิงเหิงสัมผัสกับกำลังที่รั่วไหลออกไปภายในร่างกาย ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวที่ใช้กระบวนท่าเดียวเอาชนะท่านมหาเทพทั้งสองด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นด้วยความสิ้นหวัง
“เจ้าจะต้องเสียใจถึงแม้เจ้าจะช่วยเหลือคนทั้งเมืองได้ในเวลานี้ แต่เมื่อสิงชางดูดซับดินแดนลับแห่งนี้สำเร็จบนโลกนี้จะไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้อีก เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่คนในเมืองแห่งนี้ โลกทั้งสามล้วนต้องตกเป็นของเขา”
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เพียงแต่วางค่ายกลอันแล้วอันเล่าอย่างตั้งใจ
“ตามกำลังของเจ้า เจ้าสามารถห้ามเขาได้! เพียงแค่เจ้าหาหินดินแดนในดินแดนลับได้ก่อนเขา ดินแดนลับแห่งนี้ก็จะตกเป็นของเจ้า ใช้โอกาสนี้…” สิงเหิงพูด นางคิดว่าขยับร่างยักษ์เข้าใกล้แต่ก็ถูกลูกศิษย์ที่เฝ้าดูบีบให้ถอยหลับไป “หากเขาหาเจอก่อนจะไม่ทันการ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาคือใคร เขาคือ…”
“เนี่ยชาง” อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบ อวิ๋นเจี่ยวก็พูดชื่อหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อน
สิงเหิงเบิกตาโต มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอย่างเหลือเชื่อ “เจ้า…เจ้า…” รู้ได้อย่างไร
สิงชางรับมือทักษิณสวรรค์ กลายเป็นท่านมหาเทพองค์ใหม่แห่งทักษิณสวรรค์ เขาอ้างตนว่าเป็นเนี่ยชางเป็นท่านมหาเทพที่แท้จริง แต่สวรรค์ทั้งสามทิศล้วนไม่เชื่อล้วนคิดว่าเป็นเพียงกลอุบายของอีกฝ่ายเท่านั้น ถึงแม้จะมีข้อสงสัย แต่อย่างมากก็แค่คิดว่าอีกฝ่ายแย่งชิงร่างกายของลูกชายตนเท่านั้น แต่ในฐานะที่เป็นมารดา สิงเหิงกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกไข่มังกรที่เธอให้กำเนิดออกมานั้นคือเนี่ยชางตั้งแต่ต้น เนี่ยชางผู้ที่ก่อให้เกิดสงครามสามโลก ท่านมหาเทพผู้คิดจะเปิดประตูดินแดนปีศาจเมื่อหมื่นปีก่อน”
ความจริงนี้น่าตกตะลึงอย่างมาก ไม่มีคนเชื่อแม้แต่ตัวของเธอเองยังไม่อาจยอมรับได้ หากผ่านการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง พวกเขาทั้งสามไม่มีใครมีสิทธิอ้างตัวเป็นท่านมหาเทพ
แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามนุษย์คนนี้จะรู้อีกทั้งยังมั่นใจถึงเพียงนี้ ทั้งที่ร่างกายของเธอเป็นเพียงมนุษย์ แต่กลับมีวิชาเวทที่น่าเกรงขาม อีกทั้งยังสามารถมองเห็นอนาคตได้
เขารู้สึกใจเย็นวาบขึ้นมา ดวงตาของเขาปรากฏความหวาดกลัวออกมา “เจ้า…เป็นใครกันแน่”
อวิ๋นเจี่ยวหันมามองอีกฝ่าย ก่อนจะตอบกลับด้วยความจริงจัง “ลูกศิษย์เสวียนเหมิน!”
“…”
พูดจบบริเวณรอบด้านส่องแสงสว่างจ้าขึ้นมา เหล่าเจ้าสำนักสวีวางค่ายกลสำเร็จแล้ว ค่ายกลทับซ้อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ส่องสว่างท้องฟ้าที่มืดมิด ราวกับหมอกควันทั่วทั้งโลกถูกขับไล่ออกไป
หมอกสีฟ้าที่แผ่ขยายไปรอบด้านถูกค่ายกลรั้งไว้ ก่อนจะเริ่มถดถอยไปทางด้านขวา เผยให้เห็นเมืองที่ถูกกลืนกิน
“หมอกสีฟ้าถอยไปแล้ว…เร็วช่วยคน!” เหล่าลูกศิษย์หมอรออยู่แต่เดิม พวกเขาติดยันต์ตัวเบาก่อนจะบุกเข้าไปพร้อมกล่องยา ประตูเมืองถูกเปิดออก ชาวบ้านจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากด้านใน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจที่รอดชีวิตออกมาได้
“อาจารย์อวิ๋น หาท่านอาวุโสแห่งสำนักอู๋ติ้งเจอแล้ว!” มีลูกศิษย์ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล
“มาแล้ว!” อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจมังกรน้ำสองตัวด้านหลังอีก เธอหันหลังวิ่งไปทางนั้นทันทีสายตากวาดผ่านทางเข้าดินแดนลับภายในเมือง เธอครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะรั้งไป๋อวี้ที่เดินผ่านเอาไว้ “ชายแก่ ท่านกลับอารามไปเรียกคนมาให้ข้าที”
“ใคร”