ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 293 ขอความช่วยเหลือ
เนื่องจากสูดดมหมอกสีฟ้ามากเกินไป ท่านอาวุโสแห่งตระกูลถังและเจ้าสำนักอู๋ติ้งล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ชุดนักพรตสีขาวถูกย้อมเต็มไปด้วยเลือด ลมหายใจรวยริน พลังลมปราณในร่างสูญสิ้น ทำได้เพียงตั้งท่าการเปิดค่ายกลป้องกันเอาไว้
อวิ๋นเจี่ยวหยิบเข็มทองออกมา ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปดูอาการ ท่านอาวุโสด้านหน้าสุดใช้แรงเฮือกสุดท้ายรั้งมือของนางเอาไว้ “อาจารย์…ไม่…ไม่ต้องสนใจข้า! ดูนายท่านตระกูลถังและเจ้าสำนักเฉาก่อน พวกเขา…”
นางหันหน้าไป ก่อนจะพบเข้ากับสองคนที่นอนอยู่ตรงกลาง พวกเขาคือถังอี้และเฉาซั่ว เมื่อเทียบกับคนอื่นที่หายใจรวยริน สองคนนี้อาการสาหัสกว่ามาก แม้แต่พลังชีวิตก็แทบจะไม่เหลือ
อวิ๋นเจี่ยวกำชับลูกศิษย์หมอที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะรีบเดินเข้าไป นางหยิบยาคืนวิญญาณที่เหลืออยู่สองเม็ดออกมาพร้อมป้อนให้คนละเม็ด พวกเขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก เส้นลมปราณทั้งร่างกายของถังอี้แหลกละเอียด ภายในร่างกายยังคงมีพลังเปลวเพลิงแผดเผาอวัยวะ สภาพด้านนอกดูไม่เป็นอะไร แต่ด้านในแทบจะไม่เหลืออะไรแล้วเฉาซั่วยิ่งแย่มากกว่า หัวใจของเขาถูกดาบแทงทะลุ ถึงจะรักษาได้ แต่กำลังคงจะสูญสิ้น
นางจึงทำได้เพียงลงมือฝังเข็มเพื่อรักษาพลังชีวิตที่หลงเหลืออยู่บนตัวของทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงมือกำจัดวิชาเวทที่หลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของทั้งสองคน แต่ก็ทำได้เพียงรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ชั่วคราวเท่านั้นหากต้องการให้พวกเขาฟื้นขึ้นมา นางยังต้องคิดหาวิธีอื่น
นางกำชับให้ลูกศิษย์นำทั้งสองคนกลับสำนักเทียนซืออย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันไปดูท่านอาวุโสท่านอื่น เมื่อตรวจดูแล้วจึงพบว่า ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่าถังอี้และเฉาซั่ว แต่ก็ค่อนข้างรุนแรง ยังไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ แต่พวกเขาอาศัยอยู่ในหมอกสีฟ้านานเกินไป ถึงแม้จะพยายามควบคุมแล้ว แต่ก็ยังคงสูดดมเข้าไปบางส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หมอกสีฟ้าเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้เส้นลมปราณภายในร่างกายของพวกเขาแตกละเอียด ก่อนจะระเบิดออกมาจากภายใน ดังนั้นตอนนี้ตัวของพวกเขาจึงอาบไปด้วยเลือด
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเส้นชีพจรหัวใจของพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบ เพียงแต่ตันเถียนของบางคนแหลกละเอียด พละกำลังสูญสิ้นเท่านั้น กำลังชีวิตบนตัวหลั่งไหลออกไปไม่มาก อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเล็กน้อย หมอกสีฟ้านั้นคืออะไรกัน
“อาจารย์อวิ๋น...” เจ้าสำนักสวีได้รับรายงานจึงรีบเดินทางมา เขามองไปยังเหล่าท่านอาวุโสบนพื้นด้วยความห่วงใย ก่อนจะหันไปพูดกับอวิ๋นเจี่ยว “พวกเขาเป็นอย่างไร”
“ถังอี้และเฉาซั่วสาหัสเล็กน้อย คนอื่นไม่เป็นอะไรในตอนนี้” อวิ๋นเจี่ยวตอบ
เจ้าสำนักสวีโล่งอก “ยังดีๆ” โชคดีที่มาทัน
“สถานการณ์ในเมืองเป็นอย่างไร” อวิ๋นเจี่ยวถาม
สีหน้าของเจ้าสำนักสวีคว่ำลงทันที ภายในดวงตาแสดงออกถึงความเจ็บปวด “คนส่วนใหญ่ช่วยออกมาได้แล้ว แต่ว่า…เนื่องจากค่ายกลคุ้มครองถูกทำลายไปอย่างกะทันหัน มีชาวบ้านจำนวนมากสูดดมหมอกสีฟ้านั้นเข้าไป ไม่ทัน…”
“บาดเจ็บไปเท่าใด”
“คาดการณ์ตอนนี้ อาจมีถึง…นับพันคน”
“…” มากเพียงนี้?
มือข้างตัวของเจ้าสำนักสวีกระชับแน่นขึ้น เดิมทีคนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องตาย หากไม่ใช่เพราะเหล่าเทพเซียนที่ดึงดันจะเข้าไปในดินแดนลับเหล่านั้น ค่ายกลคุ้มครองเมืองไม่มีทางถูกทำลาย! เขายิ่งคิดยิ่งเดือดดาล ดวงตาของเขาแดงก่ำ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสงบลง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องเหล่านี้
เขาหันไปพูดกับอวิ๋นเจี่ยว “อาจารย์ ต่อไปจะทำอย่างไร ดินแดนลับนี้…”
“อพยพคนบริเวณใกล้เคียงออกไปให้เร็วที่สุด รวมถึงลูกศิษย์เสวียนเหมิน” อวิ๋นเจี่ยวกำชับ คิ้วของนางขมวดมุ่น ก่อนจะมองไปยังคนที่กำลังเดินมาทางนี้ทั้งสอง “ข้าและชายแก่จะเข้าไปดูสถานการณ์ด้านใน”
“ฮะ!” เจ้าสำนักสวีผงะ “แค่พวกท่านสองคน! อาจารย์อวิ๋น อันตรายเกินไป…”
เขายังคิดจะพูดห้าม แต่ทางชายแก่ลากชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งมาด้วยความหอบ “เจ้าหนู ตาม…ตามมาแล้ว คนที่เจ้าบอกว่า…มีโชคชะตา”
“อา…อาจารย์อวิ๋น! ท่านหาข้า?” สีฝานที่อยู่ด้านข้างดวงตาลุกวาว ก่อนจะคารวะให้นางด้วยความตื่นเต้น หรือว่าอาจารย์จะเปลี่ยนความคิดยอมรับเขาเป็นศิษย์แล้ว ดังนั้นจึงให้อาจารย์ไป๋พาเขามาทำภารกิจ
“สีฝาน ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้าตามพวกข้ามา” อวิ๋นเจี่ยวพูด
“เอ๊ะ…ได้” สีฝานผงะ ไปไหน
เจ้าสำนักสวีก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เมื่อนึกถึงผู้ที่อยู่ในดินแดนลับแห่งนั้น เขาก็พูดขึ้นด้วยความกังวล “อาจารย์อวิ๋น ไม่ต้องให้พวกข้าไปกับท่านจริงหรือ ข้าเห็นมังกรน้ำทั้งสองตัวนั้นเกรงกลัวต่อผู้ที่เข้าไปในดินแดนลับก่อนหน้านี้อย่างมาก ข้าว่าอีกฝ่ายคงยากต่อการรับมือ อีกทั้ง…ผู้นี้เป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าทางเต๋า” เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์จึงไม่พาท่านอาวุโสหรือเจ้าสำนักที่มีกำลังมากเข้าไปในดินแดนลับ แต่กลับพาลูกศิษย์ที่ช่วยอะไรไม่ได้เข้าไป
“วางใจ!” อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้นมองทางเข้าดินแดนลับ “ข้าไม่ได้เข้าไปเผชิญหน้ากับคนด้านใน คนมากไปจะเป็นการไม่ดี แค่พวกข้าสามคนก็เพียงพอแล้ว พวกเจ้ารีบไปเถิด!”
“…” เจ้าสำนักสวีไม่อาจพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงพยักหน้า เมื่ออาจารย์อวิ๋นพูดเช่นนี้ นางก็คงมีเหตุผลของตนเอง
เวลาคับขัน อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้รีรอ นางหันหลังเดินมุ่งหน้าเข้าไปภายในเมือง
ชายแก่พลางเดินพลางดึงแขนเสื้อของนาง ก่อนจะพูดอย่างไม่มั่นใจ “เจ้าหนู พวกเราสามคนจะทำได้หรือ” ด้านในมีท่านมหาเทพองค์ก่อนอยู่นะ อีกทั้งอาจารย์ปู่ก็ไม่อยู่ “หรือไม่พวกเรากลับไปเรียกคนสวนมาด้วยเถิด?”
“วางใจ” อวิ๋นเจี่ยวหันไปมองสีฝานที่ยังคงฉงนอยู่ด้านข้าง “หากจุดประสงค์ที่พวกเขาเข้าไปในดินแดนลับคือตามหาหินเขตแดน เช่นนั้นพาสีฝานไปด้วยจะมีประโยชน์มากกว่า”
“หินเขตแดน? เจ้าหมายถึง…” ชายแก่เบิกตาโพลง ก่อนจะเข้าใจขึ้นมา ดวงตาที่มองไปยังสีฝานลุกวาว เฮ้ย เขาเกือบลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็นหนูหาสมบัติ!
สีฝานถูกจ้องจนขนลุก เขาลูบแขนของตนเองป้อยๆ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าฉงน “ท่านทั้งสอง พวกเรา…จะไปที่แห่งใดกัน” เหตุใดทุกคนล้วนวิ่งออกจากเมือง แต่พวกเขากลับเดินเข้าเมือง!
“ไม่มีอะไร” อวิ๋นเจี่ยวหันกลับไปมองเขา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มองเห็นทางเข้าภายในเมืองหรือไม่ พวกเราเข้าไปเดินเล่นกัน!”
“…” ท่านกำลังล้อข้าเล่น? สถานที่น่ากลัวเช่นนั้นเหมือนสถานที่เดินเล่นตรงไหนกัน
“จริง แค่เจ้าเข้าไปกับพวกข้า เดินเล่นเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว” เหมือนตอนที่อยู่ชิงหยาง
“…” เขาปฏิเสธได้หรือไม่
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังเข้าใกล้รอยร้าวแห่งนั้น ชายแก่หยิบยันต์ตัวเบาออกมาสามใบ แจกจ่ายให้คนละใบ จากนั้นหยิบยันต์ป้องกันชั้นดีให้สีฝานอีกใบ “แปะยันต์นี้ด้วย ข้าลองมาแล้ว ยันต์ใบนี้สามารถต้านครึ่งฝ่ามือของอาจารย์ปู่ได้”
“…” ครึ่งฝ่ามือคืออะไรกัน
“ไปกันเถิด!” ทั้งสองคนไม่รีรอ พวกเขาแปะยันต์พร้อมกับหิ้วปีกสีฝานมุ่งหน้าเข้าไปในดินแดนลับ