ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 300 เหล่าศิษย์โง่เขลา
อิ้งหลุนกล่าวว่าอันที่จริงการบรรลุสู่เซียน ไม่ใช่การฝึกฝนเหมือนดั่งที่พวกเขาคิด แต่ต้องได้รับการยอมรับจากสวรรค์ ดินแดนมนุษย์ ดินแดนปีศาจ และดินแดนสิ่งมีชีวิตในสามโลก ไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด แต่เนื่องจากข้อจำกัด การเกิดเป็นมนุษย์หรือเซียนล้วนถูกกำหนดตั้งแต่ช่วงที่เกิดใหม่ ไม่อาจก้าวข้ามได้
อาทิแมวกับเสือล้วนเป็นสัตว์ทั้งคู่ แต่ถ้าแมวไม่อาจกลายเป็นเสือได้ คนและเซียนก็เช่นเดียวกัน แต่ทุกสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นคือคุณงามความดี การบรรลุเป็นเซียน อันที่จริงแล้วที่คือการแลกเปลี่ยนของทางแห่งสวรรค์ หนทางแห่งสวรรค์สนองความปรารถนาของผู้บรรลุ แต่จะเก็บคุณงามความดีที่มอบให้ไปกลับคืน
อาจารย์อาสิบกว่าท่านในบูรพาสวรรค์ก็ใช้วิธีนี้ ในขณะนั้นสามดินแดนตกอยู่ในความโกลาหล ดินแดนมนุษย์แทบจะสูญพันธุ์ จนกระทั่งพวกเขานิกายเผยแพร่วิชาเวทเสวียนเหมิน สอนวิธีการเอาตัวรอดให้แก่ผู้คน ทำให้ดินแดนมนุษย์มีกำลังที่จะปกป้องตัวเองในโลกแห่งความโกลาหล จึงถือเป็นคุณงามความดีขนานใหญ่
พวกเขาจึงได้บรรลุเป็นเทพ ได้รับการอนุญาตจากหนทางแห่งสวรรค์ สำเร็จการก้าวข้ามดินแดน
“คุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นการกอบกู้โลกไม่ได้ปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง” อิ้งหลุนอธิบาย
“ชิงหยางกลับปรากฏสิบกว่ารายในหนึ่งครา หนทางแห่งสวรรค์ย่อมต้องคิดหาทุกวิธีทางเก็บคุณงามความดีกลับไป ดังนั้นเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับอันตรายถึงแก่ชีวิต ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการสาดส่องคุณงามความดีลงมาพร้อมทั้งเก็บกลับไป และสนองความปรารถนาในการบรรลุเป็นเซียนของพวกเขา”
แน่นอนว่าเป็นคำขอจากพวกเขาเอง
“ดังนั้น…แท้จริงแล้วเหล่าอาจารย์ใช้คุณงามความดีเปลี่ยนสัญชาติกับหนทางแห่งสวรรค์เท่านั้น?”
หนทางแห่งสวรรค์คิดบัญชีเก่งเหมือนกัน ราชามารจื่อเฉินในตอนนั้นก็ใช้คุณงามความดีของตนเองแลกวิญญาณมารที่ถูกอสูรกลืนกินนภากินเข้าไปออกมา
“อืม จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้”
“…” หนทางแห่งสวรรค์มีแต่ได้
“นี่เป็นความจำกัดของหลักเกณฑ์ ผู้ที่มีคุณงามความดีมากมีการเปลี่ยนแปลงมาก ดังนั้นคนบ้านั้นถึง…เอ่อ ดังนั้นหนทางแห่งสวรรค์จึงทำเพื่อรักษาลำดับของโลกนี้”
“ข้ากลายเป็นเทพได้อย่างไร” อวิ๋นเจี่ยวตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง “หากบอกว่าเป็นความศรัทธา ตอนนั้นที่เหล่าอาจารย์อาสร้างสำนักก็เคยช่วยเหลือคนมากมาย ไม่ควรจะขาดแคลนพลังแห่งความศรัทธา เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้กลายเป็นเทพหรือเป็นเพราะยันต์อัญเชิญทำ แต่พวกเขาก็เคยถูกอัญเชิญ”
“แต่ไม่มีใครเคยอัญเชิญพวกเขาตอนที่ยังเป็นคน”
“…” จริงด้วย
“อีกอย่างความศรัทธา ถึงจะพูดง่ายแต่หากจะใช้มันกับตัวเองกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก” อิ้งหลุนอธิบายต่อ “ความศรัทธาที่สะสมจากการขอทำไหว้พระในดินแดนมนุษย์ก็เป็นเพียงความปรารถาส่วนตัวเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาศรัทธานั่นไม่ใช่บุคคลที่มีตัวตน แต่เป็นเพียงภาพจินตนาการภายในใจเท่านั้น โดยเฉพาะตอนที่พวกเขากลายเป็นเซียน แรงศรัทธาเหล่านี้ไม่อาจสะท้อนกลับเข้าตัวของพวกเขาได้ แต่เจ้าแตกต่างกัน…”
อิ้งหลุนหันมามองเธอ ก่อนจะพูดด้วยรอบยิ้ม
“พวกเขาศรัทธาในตัวเจ้าอย่างบริสุทธิ์” ดังนั้นแรงแห่งความศรัทธานั้นจึงตกหล่นลงบนตัวเธออย่างแม่นยำ
“จริงสิศิษย์ตัวน้อย เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าคาถาอัญเชิญเทพที่เยี่ยยวนสอนเจ้าท่องอย่างไร”
“เสวียนเหมินฟ้าดินสรรพสิ่งใต้โลกหล้าปราบมารขจัดปีศาจขออัญเชิญ…”
เธอท่องไปครึ่งหนึ่งก่อนจะหยุดลงและหันควับมองไปยังอีกฝ่าย “เทพเทวดา?”
“อืม” อิ้งหลุนพยักหน้า “เทพเทวดา!”
“…” ที่แท้ยันต์อัญเชิญเทพก็คือการอัญเชิญเทพ!
“นี่เป็นคาถาที่เยี่ยยวนสร้างออกมาจึงไม่ธรรมดา”
อาจารย์ปู่…เดี๋ยว!
อวิ๋นเจี่ยวมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ตอนที่อาจารย์ปู่สร้างยันต์นี้ คงไม่ได้เพื่อใช้ตอนที่บรรลุเป็นเทพหรอกนะ ไม่อย่างนั้นเหตุใดยันต์อื่นไม่ต้องใช้คาถา แต่ยันต์อัญเชิญเทพกลับยังต้อง
เหล่าอาจารย์อาไม่เข้าใจความหมายของเขา คิดว่าเป็นเพียงยันต์ไร้ประโยชน์เท่านั้น สุดท้ายพวกเขาคิดแต่จะบรรลุเป็นเซียน จึงพลาดโอกาสที่จะเป็นเทพ
นี่คือสาเหตุที่อาจารย์ปู่รังเกียจถึงความโง่เขลาของพวกเขาหรือ ที่แท้ก็คิดอยากจะสอนพวกเขาเป็นเทพ แต่พวกเขากลับกลายเป็นเซียน มิน่าอาจารย์ปู่จึงโกรธจนไม่อยากเจอพวกเขา
เมื่อคิดเช่นนี้ เหล่าอาจารย์อา…โง่เขลาเสียจริง
-_-|||
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวความคิดนี้ออกมา เธอครุ่นคิดก่อนจะพูดต่อ
“ดังนั้นบนตัวข้ามีคุณงามความดีมากขึ้นเช่นนี้ เป็นเพราะข้าปฏิเสธการบรรลุ หนทางแห่งสวรรค์ไม่อาจเก็บคุณงามความดีกลับไปได้ จึงทำได้คืนสู่ข้า”
“กล่าวเช่นนี้ได้”
“หากข้าอยากบรรลุเป็นเซียนเวลานี้ หานทางแห่งสวรรค์จะรับปากทันทีหรือไม่”
อิ้งหลุนดวงตาเปล่งประกาย ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มปริ่ม “ศิษย์หลานลองดูหรือไม่” หากนางกลายเป็นเซียนต้องทำให้เยี่ยยวนบ้าคลั่งเป็นแน่
“ช่างเถิด!” อวิ๋นเจี่ยวรู้ความคิดของอีกฝ่าย อีกทั้งนี่ไม่ต้องลอง เพราะตอนที่เธอพูดขึ้นมาเมื่อครู่ ในหัวของเธอก็ปรากฏเสียงเร่งเร้าให้เธอจากดินแดนมนุษย์ไปขึ้นมาอีกทั้ง ราวกับต้องการยัดให้เธอเข้าไปในดินแดนสวรรค์อย่างเร่งด่วน
ฮึ! เธอเป็นคนไม่มีอุดมการณ์เช่นนี้?
ไม่ใช่…นอกเสียจากให้เธอกลายเป็นเทพ
ฉึบ! เสียงภายในหัวหยุดชะงัก
“…” เอ็มเอ็มพี!
…
หลังจากที่เรื่องเมืองอี้สิ้นสุดลง สำนักเทียนซือก็ยุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ประชาชนที่อพยพออกจากเมืองมีจำนวนมากเกิน การหาที่อยู่อาศัยให้พวกเขาจึงเป็นปัญหาใหญ่ เมืองอี้เดิมถูกทำลายจนแทบสิ้นซากแล้ว อีกทั้งภายในเมืองยังไม่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ อาจมีหมอกสีฟ้าหรือพลังเทพหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีอาวุธวิเศษของเหล่าเซียนอีก สำหรับคนธรรมดาแล้ว สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นอันตราย
ดังนั้นสำนักเทียนซือจึงใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนในการจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อยแต่ยังมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือเหล่าเซียนที่ถูกจับกุมกลับมา แตกต่างจากสงครามทักษิณสวรรค์ในครั้งก่อน ครานี้เหล่าเซียนที่จับกุมกลับมาบ้างมีชีวิตบ้างตายบ้างพิการ อีกทั้งยังมีคนที่ยอมจำนนหลังจากที่เนี่ยชางหายตัวไป
ซึ่งทำให้ยากต่อการจัดการ หากฆ่าทิ้ง จำนวนมีมากเกินไป อีกทั้งพวกเขาไม่อาจรับรองได้ว่าเหล่าเซียนนี้จะมีวิธีพิเศษอื่นในการหนีไปหรือไม่ หากจะปล่อยก็รู้สึกผิดต่อคนที่ถูกฆ่า การกักขังยิ่งเป็นไปไม่ได้ ก่อนอื่นยังไม่ต้องพูดว่ากักขังได้หรือไม่ ใครจะรู้ว่าพวกเขามีสหายในดินแดนด้านบนอีกหรือไม่
เจ้าสำนักสวีลังเลใจ นี่เป็นฝูงคนอันตรายหากกักขังไว้ในสำนักเทียนซือเป็นการชั่วคราวเช่นนี้ เขาไม่กล้าแจ้งเปิดเรียน หากทำร้ายนักเรียนใหม่จะทำอย่างไร
สุดท้ายอวิ๋นเจี่ยวเสนอความคิดหนึ่ง…โยนให้บูรพาสวรรค์!
นี่เป็นการต่อสู้ของสวรรค์เอว ให้พวกเขาจัดการปัญหาความขัดแย้งภายใน เธอเชื่อว่าอาจารย์อาหยวนคงจะยินดี่ที่จะจัดการเรื่องนี้
ดังนั้นเธอรายงานต่ออาจารย์อาหยวนเจียง พร้อมทั้งให้พวกเขาลงมารับคน แต่อาวุธต้องทิ้งเอาไว้