ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 304 ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียว
เห็นเพียงแต่บริเวณที่เขายืนเมื่อครู่มีแสงสีฟ้าสว่างขึ้น ลำแสงสีฟ้าพุ่งทะยานขึ้นฟ้า พลังแห่งสามโลกบนท้องฟ้าถูกแยกออกจากกัน พลังสามโลกที่แบ่งแยกอย่างชัดเจนและมั่นคง เริ่มวุ่นวายอีกครั้งเสียงประหลาดโดยรอบดังขึ้นพลังแห่งความโกลาหลเริ่มโจมตีเข้ามาพืชวิเศษทั้งหลายถูกกระแสลมพัดจนกระจัดกระจาย ความรู้สึกหายใจไม่ออกกลับมาอีกครั้ง
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอแหงนมองลำแสงสีฟ้าบนท้องฟ้า ก่อนจะพบว่าท้องฟ้าบิดเบี้ยวไป ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ ในแสงสีฟ้า รูปร่างสูงโปร่ง แต่มองไม่เห็นใบหน้าเห็นได้เพียงชุดสีน้ำฟ้าที่คุ้นเคย
“เจ้า!” ชายแก่จำได้ทันที เขาคือคนที่ช่วยเนี่ยชางในเมืองอี้ตอนนั้น! ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่
ชายผู้นั้นกวาดตามองทั้งสามคนอย่างเรียบเฉย ก่อนที่สายตาจับจ้องไปที่อวิ๋นเจี่ยว พูดขึ้นราวกับรู้ล่วงหน้า “พวกเจ้ามาที่แห่งนี้จริงด้วย ปัจจัยที่ก่อกวนของชะตาสวรรค์”
อวิ๋นเจี่ยวกำมือแน่น เธอมองดูคนข้างบนอย่างละเอียด คราวนี้เธอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าทั่วไป สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ สายตามองดูพวกเขาอย่างเย็นชา แตกต่างจากความเย่อหยิ่งของเหล่าเซียนบนดินแดนสวรรค์ ท่าทางไม่แยแสของเขาราวกับทุกสิ่งบนโลกไม่มีความแตกต่างสำหรับเขา
เธอรู้สึกอึดอัดในใจอย่างอธิบายไม่ถูก ดวงตาของเธอกวาดไปที่หน้าอกของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “จี้เฟิง?”
ชายผู้นั้นตกตะลึงดวงตาที่ไร้ที่อารมณ์ฉายแววแปลกใจ ”ทำไมเจ้าถึงรู้จักชื่อข้า”
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเขา ก่อนจะชี้ไปยังหน้าอกของเขา “ครั้งหน้าหากไม่อยากให้คนอื่นรู้ อย่าเขียนชื่อตัวเองไว้บนเสื้อผ้า!” ตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัวตรงหน้าอก เธอมองไม่เห็นถึงจะแปลก!
จี้เฟิงที่มีความมั่นใจ: “…”
ชายแก่และสีฝานที่มองไม่เห็น: “…”
เขียนชื่อไว้บนเสื้อผ้าคืออะไรกัน กลัวหายเหรอ
-_-|||
ใบหน้าของจี้เฟิงบิดเบี้ยวไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสงบอีกครั้ง เขาเหลือบมองอวิ๋นเจี่ยวอีกครั้ง ก่อนจะกระจ่าง “เจ้ากลายเป็นกึ่งเทพแล้ว มิน่าถึงเห็นร่างจริงของข้า เพียงแต่…ผู้ที่ขัดขวางลิขิตสวรรค์ไม่อาจถูกยอมรับได้”
“พูดเหลวไหลอะไรกัน” ทันทีที่พูดจบ ชายแก่อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “เจ้าหนูเป็นอาจารย์แห่งเสวียนเหมิน ช่วยชีวิตคนไว้มากมายไม่อาจถูกยอมรับได้อะไรกัน ข้าว่าเจ้าต่างหากที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์ มิเช่นนั้นทำไมถึงไม่ให้คนเห็น อีกทั้งยังเขียนชื่อของตนเองไว้บนเสื้อผ้า สมองมีปัญหา!”
“ฮึ่ม โง่เขลา! เห็นเพียงแต่สิ่งที่สูญเสียตรงหน้า แต่ไม่รู้ว่ามันจะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ในไม่ช้า!”
ดูเหมือนเขาจะไม่อยากอธิบายต่อ พูดจบเขายกมือขึ้นทันใดนั้นค่ายกลขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศค่ายกลนั้นประหลาดอย่างมาก ยันต์และลักษณะค่ายกลแม้แต่อวิ๋นเจี่ยวยังไม่เคยพบพลังทั้งสามโลกที่ปะปนกันในเดิมทียิ่งปะทุขึ้นมาทำให้พืชวิเศษบนพื้นเสียหายไปกว่าครึ่งแม้แต่พื้นดินก็เริ่มปรากฏรอบร้าว
อวิ๋นเจี่ยวรีบระดมพลังเทพในเส้นลมปราณเสวียน ก่อค่ายกลคุ้มครองค้นหาหลายชั้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนู เขาพุ่งตรงมายังเจ้า…” ชายแก่หยิบอาวุธวิเศษออกมามองไปยังคนกลางอากาศอย่างเป็นกังวล “เขาพูดถึงอะไรกัน” ลิขิตสวรรค์อะไรกัน
“ใครจะไปรู้!” อวิ๋นเจี่ยวเองก็ฟังไม่เข้าใจ แต่พอฟังออกว่าอีกฝ่ายกำลังตำหนิเธอที่ไหยุดยังเนี่ยชางรวมดินแดนสวรรค์เป็นหนึ่งเดียว “มีคนบางพวกชอบหาเหตุผลสูงส่งให้ตนเองก่อนกระทำผิด”
“ก็ถูก” ชายแก่พยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นการส่งเสียง “เจ้าหนูทำอย่างไร ข้ากับหนูขุดทรัพย์ไม่อาจใช้พลังลมปราณได้ คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเนี่ยชางอีกไม่รู้ว่าเป็นคนของสวรรค์ไหน”
“เขาไม่ใช่คนของดินแดนสวรรค์” อวิ๋นเจี่ยวตอบ
“ฮะ?” ไม่ใช่ดินแดนสวรรค์แล้วจะเป็นที่ไหน
“เขาเป็นคนของดินแดนเทพ!” ไม่ว่าจะเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าท่ามหาเทพแห่งดินแดนสวรรค์หรือว่าพลังเทะสีฟ้ารอบตัวล้วนบ่งบอกว่าเขามาจากดินแดนเทพ
ชายแก่ผงะไป คนบ้าผู้นี้เป็นเทพ?!
“เช่น…เช่นนั้นเจ้าหนูเจ้ามั่นใจหรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ภายในใจสั่นเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่รู้ ทำได้เพียงถ่วงเวลาเอาไว้ ชายแก่พกยันต์ขนส่งหรือไม่ หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา พวกเราถือโอกาส…”
“ไม่มีประโยชน์!” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เสียงของจี้เฟิงดังขึ้น “สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งทับซ้อนของสามโลก ยันต์ของพวกเจ้าใช้ไม่ได้ ไม่ต้องดิ้นรนให้เสียเปล่า”
อวิ๋นเจี่ยวและชายชราต่างผงะ เขารู้เนื้อหาที่พวกเขาคุยกันได้อย่างไร
“การส่งเสียงของพวกเจ้าไม่อาจซ่อนเร้นได้ ต่อหน้าข้า การกระทำของพวกเจ้าล้วนไม่อาจเล็ดรอดสายตาของข้าได้” เขาพูดเสียดัง
“อย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเจี่ยวพูดเสียงต่ำ ก่อนจะหยิบกระจกพันลี้ออกมาจ่อหน้าเขา จากนั้นปรับเป็นโหมดมือเขียน จากนั้นกดลงไปหลายทีนาทีถัดมากระจกพันลี้ของชายแก่ดังขึ้น
ชายแก่หยิบออกมาดู เห็นเพียงด้านบนมีข้อความที่อวิ๋นเจี่ยวส่งมา: [ชายแก่ ข้ามีความคิดหนึ่ง!]
“ฮะ?” ชายแก่หันไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง
“อย่าพูด ดูกระจก!”
ชายแก่มองเธอก่อนจะมองจี้เฟิงที่อยู่บนฟ้าจากนั้นเขาก็กระจ่างขึ้นมา “อ่อ? อ่อ!” จากนั้นรีบตอบกลับ: [เจ้ารอก่อน ข้าดึงหนูขุดทรัพย์เข้ามา!]
ดังนั้น ทั้งสามคนจึงรวมตัวคุยกันผ่านทางตัวอักษรต่อหน้าจี้เฟิง
ใบหน้าธรรมดาของจี้เฟิงดำทะมึนราวกับก้นหม้อ “พวกเจ้าทำอะไร”
ทั้งสามคนกรอกตาให้เขาอย่างพร้อมเพรียง…เจ้าบอกว่าไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาเจ้าได้ไม่ใช่หรือเจ้าก็ดูสิ!
จี้เฟิงหน้าดำทะมึนยิ่งขึ้นคิ้วของเขาขมวดมุ่นเขาถลึงตาใส่อวิ๋นเจี่ยว “ไม่ว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไร สุดท้ายแล้วก็เสียแรงเปล่า เจ้าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ เพื่อทั้งสามโลก ข้าต้องกำจัดเจ้าทิ้ง” พูดจบทุกคนรู้สึกถึงพลังกลุ่มหนึ่งพุ่งตรงมาราวกับต้องการบดขยี้ตนให้แหลกละเอียด
ค่ายกลคุ้มครองแตกออก ในขณะที่พลังนั้นกำลังจะทับลงมา อวิ๋นเจี่ยวรีบส่งข้อความสุดท้ายออกไป จากนั้นเห็นเพียงแต่แสงสีทองแสบตาสว่างขึ้นรอบตัวก่อนจะต้านพลังกลุ่มนั้นกลับไป
ครานี้ชายแก่มีการเตรียมตัวเขาหยิบผ้าสีเข็มออกมาปิดตา
“ฮึ! แสงทองคุณงามความดีอีกแล้ว!” สีหน้าของจี้เฟิงดำขึ้น เขาหยุดพลังนั้นเอาไว้ก่อนจะพูดเสียงเย็น
“เจ้าคิดว่ามีคุณงามความดีเหล่านี้จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้หรือ”
มือของเขาหมุนหนึ่งที เห็นเพียงแต่ค่ายกลขนาดใหญ่บนฟ้าส่องสว่างแสงสีฟ้า จากนั้นกระจายออกไปทั้งแปดทิศทันใดนั้นฟ้าดินสั่นสะเทือนพื้นดินยุบลงไปทีละน้อยพลังทั้งสามโลกรอบด้านยิ่งปะทุขึ้น
“เขาคิดจะทำลายสถานที่แห่งนี้!” อวิ๋นเจี่ยวตกใจ สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งทับซ้อนสามโลกไม่ใช่พื้นที่ของโลกใดโลกหนึ่งอีกทั้งอ่อนแออย่างมาก หากสถานที่แห่งนี้สลายไปพวกเขาจะตกลงสู่รอบร้าวของสามโลก ไม่อาจออกมาได้อีก