ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 308 ป่าแห่งการสะกดความชั่วร้าย
ทั้งสามคนเริ่มมองพินิจรอบด้าน พบว่าสถานที่ที่พวกเขายืนเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นแท่นบูชา ด้านหน้าของแท่นบูชามีรูปปั้นหินตั้งตระหง่านอยู่ แต่อาจเป็นเพราะอายุยาวนานทำให้ลักษณะของรูปปั้นหินนั้นไม่ชัดเจน สถานที่ที่พวกเขาตกลงมาเมื่อครู่คือบริเวณใจกลางของแท่นบูชามิน่าเด็กเหล่านี้ถึงได้คิดว่าพวกเขาคือเทพสวรรค์
ทั้งสามคนเดินออกจากทานบูชาตามหลินซี ตลอดทางเดินเต็มไปด้วนต้นไม้สูงใหญ่ มองไม่ออกว่ามันคือต้นอะไรลักษณะของมันแปลกประหลาดด้านล่างเป็นลักษณะของต้นไม้ธรรมดา แต่ใบไม้ด้านบนกลับสามารถเปล่งประกายแสงสีขาวจางๆ ออกมาได้ ใบไม้นับไม่ถ้วนรวมตัวอยู่ด้วยกันส่องสว่างให้ท้องฟ้าขาวโพลน
แสงที่พวกเขาเห็นในความมืดเมื่อครู่มาจากใบไม้เหล่านี้ ส่วนต้นไม้ด้านนอกเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ ค่ายกลนั้นมีลักษณะเป็นวงกลมห่อหุ้มพื้นดินนี้เอาไว้ บริเวณแห่งนี้ไม่ใหญ่มากแต่ก็มีพื้นที่พอกับป่าไม้แห่งหนึ่งราวกับเมืองเล็กที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว
ระหว่างทางที่พวกเขาเดินมาเห็นเพียงแต่บริเวณรอบด้านล้วนเต็มไปด้วยพืชวิเศษมากมายอีกทั้งมีจำนวนมากกว่าดินแดนทับซ้อนของทั้งสามโลกเสียอีก บางประเภทมีอยู่แต่ในตำนานแต่คนที่นี่ราวกับไม่รู้ว่าของเหล่านี้ล้ำค่ามากแค่ไหนพวกเขาเหยียบย่ำอยู่ด้านบนทำให้ชายแก่และสีฝานล้วนเสียดาย
“สหาย ที่นี่คือที่ใดกัน” ชายแก่อดถามต่อหลินซีที่อยู่ด้านหน้าไม่ได้
“ที่นี่คือป่าเจิ้นเนี่ย เป็นหลักแหล่งของเผ่าข้า” หลินซีตอบ “ดินแดนนี้อยู่ระหว่างรอยร้าวของดินแดนทั้งสามไม่ใช่ดินแดนของโลกใดโลกหนึ่ง แต่เป็นดินแดนที่พิเศษที่สุดในสามโลก”
“ที่นี่คือรอยร้าวของสามโลก!” ชายแก่ผงะ ภายในรอยร้าวไม่ใช่ดินแดนแห่งความว่างเปล่าหรือ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือน “สหาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะออกจากที่นี่ไปดินแดนมนุษย์ได้อย่างไร”
หลินซีผงะ ก่อนจะหันกลับไปมองคนทั้งสามด้วยสายตาซับซ้อนก่อนจะพูดขึ้น “ทั้งสามคงจะ…กลับไปไม่ได้แล้ว”
“อะไรนะ?” ไม่เพียงแต่ชายแก่แม้แต่สีฝานก็ตกใจ
หลินซีถอนหายใจ ก่อนจะอธิบายขึ้น “เฮ้อ ดินแดนนี้เป็นชายขอบของทั้งสามโลก ถึงจะอยู่ภายในสามโลก แต่ก็ไม่ได้อยู่ภายในดินแดนแห่งความว่างเปล่านี้มีเพียงป่าเจิ้นหลินที่สามารถอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งไม่มีทางออกอันใด กาลเวลาผ่านมานานเช่นนี้พวกท่านเป็นคนนอกกลุ่มแรกที่เข้ามา”
ดังนั้นเราถูกขังไว้ที่นี่หรือ
หลินซีเห็นคนทั้งหลายไม่อาจยอมรับได้ในเวลานี้ เขาเบี่ยงเบนประเด็นไปทันที “ทุกท่านคงเหนื่อย เชิญพักผ่อนภายในตำหนักก่อนเถิด”
พูดจบก็นำทั้งสามคนเข้าไปภายในตำหนักหินแห่งหนึ่ง ตำหนักสูงตระหง่าน มีร่องรอยของกาลเวลาอย่างมาก ด้านบนเต็มไปด้วยพืชวิเสามากมายด้านหน้าตำหนักมีรูปปั้นหินขนาดเท่าตัวคนอยู่มากมายเรียงรายกันเป็นสองแถวราวกับองครักษ์สุดจนกระทั่งประตูตำหนักด้านหน้าแต่ละคนล้วนสวมชุดลักษณะเดียวกันกับชายหนุ่ม เมื่อเทียบกับตำหนักใหญ่ รูปปั้นเหล่านี้ดูสะอาดสะอ้านกว่ามาก ราวกับมีคนคอยเก็ยกวาดอยู่ตลอดเวลา
“เหล่านี้คือผู้นำเผ่าแต่ละผู้นำเผ่าของชิงหลิน” เมื่อเห็นพวกเขาสงสัย หลินซีจึงรีบอธิบาย ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพและภาคภูมิใจ “พวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการปกป้องผู้คนในเผ่า”
ทั้งสามคนพยักหน้ารับ อวิ๋นเจี่ยวมองดูอย่างละเอียดสิ่งที่น่าประหลาดคือเดินเข้าด้านในยิ่งมีรูปปั้นเหล่านี้ยิ่งเด็กลง ตอนแรกเป็นชายแก่ก่อนจะกลายเป็นชายวัยกลางคนก่อนจะกลายเป็นชายหนุ่มอายุราวหลินซี แต่หลินซีเหมือนจะเด็กที่สุด
“อาจารย์! ดูทางนั้น!” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด สีฝานตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาชี้นิ้วไปยังด้านขวาด้วยสีหน้าตกตะลึง
อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่มองตามทิศทางที่เขาชี้เห็นเพียงแต่พื้นดินด้านขวามีพืชวิเศษสีแดงราวเปลวเพลิงเติบโตเต็มพื้น
“ต้นอ่อนแห่งการกลับคืน ยะยะ…เยอะมาก!” สีฝานเบิกตาโต เขาหยิบต้นที่อยู่ในย่ามของตนเองออกมาเปรียบเทียบอย่างเหลือเชื่อก่อนจะพบว่าเหมือนกันไม่มีผิด
“ต้นสีแดงเหล่านี้ น้องสาวในเผ่าเป็นคนปลูกไว้” หลินซีอธิบาย “พวกนางเห็นว่าสวยงามจึงปลูกไว้จำนวนมากหากทั้งสามชื่นชอบถึงเวลาเด็ดกลับไปเสียบ้างย่อมได้”
ทั้งสามคนผงะ ต้นอ่อนแห่งการกลับคืนปลูกได้ง่ายดายเช่นนี้หรือ ฟังจากน้ำเสียงของเขาราวกับพืชวิเศษเหล่านี้ไม่มีมูลค่าอันใดจำนวนมากเช่นนี้สามารถช่วยได้กี่คน แต่เมื่อคิดไปคิดมาพวกเขาไม่อาจกลับไปได้ทันใดนั้นก็รู้สึกห่อเหี่ยวลง
“ขอบใจท่านอย่างมาก” อวิ๋นเจี่ยวกล่าวขอบคุณ สีหน้าครุ่นคิดอย่างมีนัย
ชายหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะนำพาพวกเขาเข้าไปในโถงตำหนัก จากนั้นสั่งกำชับอะไรบางอย่าง เวลาถัดมาก็มีเด็กสี่ห้าคนเดินเข้ามาพร้อมกับชาและขนม หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ออกไปเพียงแต่ยืนอยู่ด้านหลังของหลินซี และมองดูพวกเขาด้วยความสงสัย
ทั้งสามแนะนำชื่อตนเองสั้นๆ จากนั้นพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องภายนอก บางทีอาจเป็นเพราะไม่เคยออกไปข้างนอกมาก่อนทำให้หลินซีสนใจในสิ่งต่างๆ ภายนอกอย่างมาก เขาถามคำถามมากมายยิ่งฟังมากเท่าใดดวงตาของเขาก็ยิ่งฉายแววตื่นเต้นและโหยหามากขึ้นเท่านั้น เหล่าเด็กๆ รอบตัวเขาก็ดูตื่นเต้นไปด้วย
อวิ๋นเจี่ยวเห็นทุกคนคุยจนเริ่มได้ที่แล้วคงถามข้อสงสัยออกมา “หัวหน้าหลิน ขออภัยที่พวกข้าล่วงเกิน เหตุใดในเผ่าของพวกท่านจึงมีเพียง…เอ่อ ชายหนุ่มที่ยังไม่ยี่สิบกับเด็กเล็ก แต่ไม่เห็นผู้ใหญ่แม้แต่น้อย”
ทันทีที่เธอพูดจบ ชายหนุ่มที่ตาเป็นประกายหลังจากฟังเรื่องเล่าก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีเขาเผยสีหน้าเศร้าโศกออกมา แม้แต่เด็กๆ รอบตัวก็ก้มหน้าลงท่าทางโศกเศร้าราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกราวกับว่าเธอถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไป
สักพักหลินซีก็ถอนหายใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ”ผู้อาวุโสในเผ่าเราล้วน…ตายไปแล้ว ข้าเป็นคนแก่ที่สุดในนี้”
ชายแก่ผงะ ก่อนจะพูดขึ้น “ท่าน…อายุเท่าใด” หรือว่าพวกเขาดูผิดอาจเป็นเพราะเผ่านี้มีการฝึกฝนที่สำเร็จ ดังนั้นจึงมีวิชาการผนึกใบหน้าแต่บนตัวของพวกเขาไม่มีพลังลมปราณ!
ชายหนุ่มตอบ “ข้าปีนี้…สิบห้า”
สามคน : ”…” ที่แท้ไม่ได้ดูผิดหรอกเขายังเด็กจริงๆ ด้วย เช่นนั้นคนอื่นไม่เด็กกว่าหรือ? พวกเขาหันไปมองเด็กๆ รอบข้างเขา
“เรื่องนี้ค่อนข้างยาว” เมื่อเห็นคนทั้งสามตกอยู่ในความงุนงง หลินซีจึงอธิบาย ”เผ่าของพวกเราเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการสัมผัสถึงพลังของโลก ตามคำขอของเหล่าเทพสวรรค์พวกข้าจึงอาศัยอยู่ในดินแดนรอยร้าวของสามโลกแห่งนี้เพื่อปราบปรามเผ่าพันธุ์อื่นไม่ให้พวกเขาบุกรุกเข้าสามโลกและทำร้ายสรรพสิ่ง!”
เผ่าพันธุ์อื่น?” ชายแก่ขมวดคิ้ว “เผ่าพันธุ์อันใดเก่งกาจเช่นนี้”