ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 309 คำมั่นแห่งเทพสวรรค์
“เรื่องนี้พวกข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” หลินซีส่ายหัว “แต่ตามตำราโบราณ เผ่าพันธุ์เหล่านั้นมาจากขุมนรก ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยรุกรานโลกทั้งสามในคราวเดียว คิดจะทำลายล้างโลก ต่อมาเทพสวรรค์นำทัพทั้งสามโลก รวมพลังคุมขังพวกเขาเอาไว้ อีกทั้งปิดผนึกไม่ให้พวกเขากลับเข้าสู่สามโลกอีก แต่เนื่องจากพวกเขามาจากก้นบึ้งของขุมนรก เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันกลับมา เทพสวรรค์ จึงทำได้เพียงกักขังพวกเขาไว้ในรอยร้าวระหว่างสามโลก จากนั้นมอบหมายให้เผ่าพันธุ์ของพวกข้ามาดูแลผนึกนี้ จนกว่าจะพบวิธีที่สามารถกักขังพวกเขาได้ตลอดไปจึงจะรับพวกข้ากลับโลกมนุษย์”
“…” ดังนั้น พวกเขาจึงอยู่ที่นี่มาจนถึงเวลานี้?
“อ่อ จริงสิ” หลินซีนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะเสริมอีกประโยค “ได้ยินว่าเผ่าพันธุ์นั้นมีวิชาเวทที่มีพลังเหนือกว่าเทพเซียน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์นั้น แม้แต่เทพสวรรค์ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมีนิสัยโหดร้ายและกระหายเลือด ต้นไม้ใบหญ้าบนพื้นดินที่พวกเขาก้าวผ่านล้วนเหี่ยวเฉา”
ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา!
“เผ่าปีศาจ!” ชายแก่โพล่งออกมา บนโลกนี้มีเพียงพลังปีศาจที่สามารถทำให้ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาในทันที แต่ประตูแห่งดินแดนปีศาจถูกผนึกอยู่ในยมโลกไม่ใช่หรือ ผนึกที่นี่คืออะไรกัน
“ที่แท้เวลานี้พวกท่านเรียกขานพวกเขาว่าเผ่าปีศาจหรือ”
ชายแก่สีหน้าตกตะลึง “เช่นนี้ สงครามเทพปีศาจที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องเมื่อหลายหมื่นปีก่อนแล้ว เวลานี้เป็นเพียงแค่ตำนาน”
“เช่นนั้นคงไม่ผิด” หลินซีพยักหน้า “เผ่าชิงหลินของพวกข้าสืบทอดมากว่าร้อยรุ่นคนแล้ว”
ทั้งสามคนยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก หลายหมื่นปีมานี้ เพราะหนึ่งคำสัญญา พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนเพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจกลับเข้ามาในสามโลก อีกทั้งไม่เคยจากไป?
ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเล็กน้อยถัดจากหลินซีอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความคาดหวัง “แขกผู้มีเกียรติทั้งสาม ตำนานที่พวกท่านว่า พูดถึงเผ่าของพวกเราว่าอย่างไรบ้าง เก่งกาจมากใช่หรือไม่ ท่านบอกพวกข้าได้หรือไม่”
“นั่นสิ แขกผู้มีเกียรติ” เด็กอีกคนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน มีพูดถึงพี่เจียงหงหรือไม่ แล้วก็ลุงเทียนซิงและคนอื่นๆ”
“เจ้าโง่! พี่เจียงหงและลุงเทียนซิงเกิดหลังจากที่เผ่าของพวกเราเข้ามาที่นี่ โลกภายนอกจะรู้ได้อย่างไร หากจะรู้ก็ต้องรู้ชื่อบรรพบุรุษของพวกเรา”
“ถูกต้อง พวกเขาต้องเคยได้ยินชื่อบรรพบุรุษของพวกเราหลินเอิน! อย่างไรก็ตามพวกเขาคือคนที่กอบกู้สามโลกเอาไว้ บางทีพวกเขาอาจมีชื่อเสียงดังก้องในสามโลกแล้ว!”
“แขกผู้มีเกียรติ พวกท่านเคยเห็นเทพสวรรค์หรือไม่ พวกเขาบอกหรือไม่ว่าจะมาช่วยพวกเราเมื่อใด”
“ใช่ พวกท่านไม่ได้รับมอบหมายจากเทพสวรรค์หรือ”
เหล่าเด็กๆ ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น สายตาที่มองพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ทั้งสามคนรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา ความรู้สึกผิดที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นมาในใจของพวกเขา มองดูใบหน้าไร้เดียงสาตรงหน้า ไม่มีใครรู้ว่าควรตอบพวกเขาอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาเป็นเหล่าคนที่ยอมเสียสละเสรีภาพของทั้งเผ่าพันธุ์เพื่อกอบกู้สามโลก ในสายตาของพวกเขา บนโลกควรมีตำนานของพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยโลก
แต่ความจริงก็คือ…ไม่มี!
ไม่มีใครจำการเสียสละของพวกเขาได้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ แม้แต่เทพสวรรค์ที่พวกเขาไว้วางใจก็อาจลืมการมีอยู่ของพวกเขาไปแล้ว มิเช่นนั้นจี้เฟิงคงไม่ทำให้ทั้งสามคนร่วงลงมาที่นี่ แต่พวกเขาก็รอคอยอย่างสุดใจให้เหล่าเทพสวรรค์รักษาสัญญาและนำพาพวกเขากลับคืนสู่โลกมนุษย์
“เอาล่ะ อย่าหยาบคาย” อาจเป็นเพราะเห็นความลำบากใจของทั้งสาม หลินซีพูดขัดขึ้นมา เขายืนขึ้นแล้วพูด “ทั้งสามคงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะให้คนพาพวกท่านไปพักผ่อน”
ทั้งสามคนลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน สักพักแรงสั่นนั้นก็หยุดลง
“หัวหน้า!” เด็กชายร่างสูงที่อยู่ตรงแท่นบูชาวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “มีรอยร้าวเกิดขึ้นบนผนึกอีกแล้ว”
สีหน้าของหลินซีเปลี่ยนไปทันที คิ้วของเขาขมวดมุ่น ก่อนจะสั่งการลงไปไม่ลังเล “แจ้งลงไป ข้าจะเริ่ม พิธีฤดูใบไม้ร่วง ครานี้ข้าจะเป็นคนไปซ่อมผนึกเอง”
“พี่หลินซี!” เด็กชายเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
“รีบไป! มิฉะนั้นจะสายเกินไปแล้ว!” หลินซีเร่งเร้า
ความเศร้าปรากฏบนใบหน้าของเด็กชาย เขากัดฟันกรอดก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป
“แขกผู้มีเกียรติทั้งสาม ข้าต้องขอตัวก่อน” หลินซีพูดก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องโถงไป
“เดี๋ยวก่อน!” ชายแก่รีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว “ให้พวกข้าไปด้วยเถิด บางทีอาจช่วยได้!” จากนั้นก็มองไปยังอวิ๋นเจี่ยว “ใช่หรือไม่ เจ้าหนู?”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน นางพูดเสริมขึ้น “พวกข้าเคยรับมือกับปีศาจ”
สีหน้าของหลินซีลังเลเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้า “ได้ เช่นนั้นทุกท่านตามข้ามา”
พูดจบ เขาก็เดินนำอยู่ข้างหน้า ทั้งสามคนเดินตามขึ้นไป อาจเป็นเพราะสถานการณ์คับขันมาก เขาสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว แม้แต่หน้ายังไม่หันกลับมามอง ระหว่างทางพื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นอีกหลายครั้ง
สักพัก พวกเขาเดินกลับไปยังแท่นบูชาที่พวกเขาร่วงลงมา เห็นเพียงแค่แสงสีทองบนแท่นบูชาสว่างขึ้น ค่ายกลสีทองก็ปรากฏขึ้นบนพื้น อักขระยันต์ที่ไม่คุ้นเคยจำนวนนับไม่ถ้วนลอยวนอยู่ เพียงแต่ใจกลางค่ายกลมีรอยร้าวเกิดขึ้น ราวกับถูกฉีกขาด ด้านในมีพลังปีศาจสีดำหลั่งไหลออกมา
“เจ้าหนู นี่ผนึกอะไร” ชายแก่หันกลับมาถามคนข้างตัว
อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว “ข้าไม่เคยเห็นค่ายกลผนึกลักษณะนี้มาก่อน” แม้แต่โครงสร้างของค่ายกลนี้ก็ยังเข้าใจยาก ราวกับว่าจะแตกต่างไปจากสิ่งที่นางเรียนรู้จากอาจารย์ปู่อย่างสิ้นเชิง แม้แต่ค่ายกลสีทองนั่น เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้สึกไม่สบายตา
เดี๋ยว ดวงตา!
นางนึกบางอย่างได้ เมื่อนางหันกลับมามองค่ายกลอีกครั้ง นางก็กระจ่างทันที “นี่คือแสงศักดิ์สิทธิ์!” อักขระยันต์ที่โบยบินบนอยู่บนค่ายกลนี้ อีกทั้งแสงสีทองที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้านั้น เหมือนกับผนึกที่เคยเห็นในเขตหมิ่นเฟิน เพียงแต่ที่นั่นมีลำแสงมากมาย ที่นี่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“เจ้าหมายถึง ผนึกนี้เหมือนกับทางอาจารย์อาใหญ่?” ชายแก่แปลกใจเช่นกัน
“น่าจะเหมือนกัน แต่…” อวิ๋นเจี่ยวหยุดพูดไป ก่อนจะพูดต่อ “ข้าเข้าใจแล้ว ผนึกที่นี่เป็นหนึ่งเดียวกับยมโลก เพียงแต่ของที่นี่คือตาผนึกของค่ายกลผนึกปีศาจ! ตอนนั้นเผ่าเทพแบ่งผนึกนี้ออกเป็นสองส่วน”
รูปแบบค่ายกลอยู่ในยมโลก ส่วนตาค่ายกลอยู่ที่นี่ หากต้องการทำลายผนึกนี้ย่อมต้องทำลายตาค่ายกล ส่วนรอยร้าวระหว่างสามโลกคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่เผ่าเทพผนึกตาค่ายกลไว้ที่นี่ แต่พวกเขาเกรงว่าพลังงานของสามโลกจะทำลายตาค่ายกล ดังนั้นพวกเขาจึงมอบหมายให้เผ่าชิงหลินมาเฝ้าอยู่ที่นี่
อวิ๋นเจี่ยวหลุบตาต่ำลง ก่อนจะครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ตำแหน่งของตาค่ายกลนั้นย่อมต้องเก็บเป็นความลับ อีกทั้งเผ่าเทพไม่ต้องการให้ปีศาจออกมา เช่นนั้นนางคาดว่าเผ่าเทพไม่ได้ต้องการที่จะปล่อยเผ่าชิงหลินออกไปตั้งแต่แรก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมารับพวกเขา เหล่าเทพไม่ได้ลืมที่จะมาช่วยพวกเขา แต่จงใจที่จะลืมการมีอยู่ของพวกเขาต่างหาก