ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 315 ปฏิเสธการศึกษา
“เรื่องอันใดศิษย์หลานตัวน้อย” อิ้งหลุนถาม “วางใจ ไม่ว่าเรื่องใด ครานี้ข้าไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน ก็แค่เผ่าปีศาจ ถึงแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถจัดการได้ ถึงแม้ข้าจะไม่บ้ากำลังเหมือนเยี่ยยวน แต่จัดการพวกเขายังพอทำได้ อีกทั้งยังง่ายกว่าการปลูกผักเสียอีก เฮ้อ เจ้าไม่รู้ว่าพืชนอกฤดูกาลที่เจ้าพูดถึงนั้นปลูกยากแค่ไหน หิมะตกลงมาเพียงเล็กน้อยก็เฉาไปแล้ว เสี่ยวหวงถึงจะเป็นวิญญาณ แต่เขาก็ทำได้เพียงบังแดด แต่ไม่อาจให้ความร้อนได้! ผักหลายต้นทางนั้นเกือบจะถูกเขาแช่ตายไปแล้ว ทำให้ข้าอยากจะเปลี่ยนวิญญาณมังกรตัวอื่นแทน ศิษย์หลานตัวน้อย! เจ้ามีเรื่องอะไรกัน เจ้าบอกมาได้เลย หรือไม่เจ้าเก็บหินบันทึกภาพก่อน เช่นนี้สะดวกกว่า เจ้าว่าอย่างไร”
ครานี้อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้พูดขัดเขา เพียงแต่ฟังเขาพูดไม่หยุด จนกระทั่งเขาหยุดเองถึงได้เอ่ยปากขึ้น “ท่านสอนค่ายกลให้ข้าได้หรือไม่”
“ค่ายกล? ได้สิ!” อิ้งหลุนพยักหน้าอย่างไม่คิด “ศิษย์หลานตัวน้อยเจ้าคิดได้เสียที เจ้าอยากเรียนกับข้าแล้วหรือ เจ้าควรจะตัดสินใจแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก ข้าบอกแล้วว่าติดตามเยี่ยยวนไม่มีอนาคต สู้ไปยมโลกกับข้าเสียดีกว่า! อย่าว่าแต่ค่ายกล ปลูกผักข้าก็สอนให้เจ้าได้ ยมโลกของข้าดีอย่างมาก ผักชนิดใดก็ปลูกได้ เจ้าบอกมาว่าเจ้าอยากปลูกผัก…อ่อ ไม่ใข่ เจ้าอยากเรียนค่ายกลอะไร อะไรก็ได้!”
“ข้าอยากเรียนแสงแห่งเทพ”
อิ้งหลุนผงะ “ไม่ได้!”
“…” ไหนบอกว่าอะไรก็ได้? ตบหน้าตัวเองอย่างนี้จะดีหรือ
“ศิษย์หลานตัวน้อย…” สีหน้าของอิ้งหลุนห่อเหี่ยวลง ก่อนจะถอนหายใจยาว “เจ้าเรียนอย่างอื่นไม่ได้หรือ เหตุใดจึงอยากเรียนสิ่งนี้ มันเป็นค่ายกลของเผ่าเทพ ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะวางได้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าค่ายกลนี้ต้องใช้พลังเทพและชีวิตของตนเองเข้าแลก”
“ข้ารู้” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “ข้าแค่อยากเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่ต้องใช้ค่ายกลนี้อย่างเดียว เพียงแค่อยากมีค่ายกลนี้ไว้เป็นไพ่ใบสุดท้าย” หากพวกเขาต้านเผ่าปีศาจไว้ไม่ได้จริงๆ อาจสามารถวางค่ายกลใหม่เพื่อผนึกพวกมันกลับไปอีกครั้ง
“ไม่ได้! อย่างไรก็ไม่ได้!” เมื่อเทียบกับการปฏิเสธที่เหมือนเป็นการหยอกล้อในครั้งนี้ ครานี้อิ้งหลุนปฏิเสธอย่างชัดเจน หัวของเขาส่ายไปมาอย่างระรัว “ถึงเจ้าจะหยิบหินบันทึกภาพออกมาร้อยก้อนก็ยังไม่ได้”
“เหตุใด” อวิ๋นเจี่ยวไม่เข้าใจ หรือการสอนค่ายกลนี้ให้นางยากกว่าการให้เขาปั่นป่วนกฎระเบียบอีกหรือ หากอาจารย์ปู่ตื่นอยู่ นางก็ยังคงอยากจะเรียนค่ายกลนี้
อิ้งหลุนกวาดตามองนางขึ้นลงด้วยสายตาซับซ้อน สักพักเขาจึงพูดขึ้น “ศิษย์หลานตัวน้อย…เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยี่ยยวนป้องกันข้าราวกับป้องกันโจร กลัวว่าข้าจะลักตัวเจ้ากลับยมโลกไป อยากจะไล่ข้าไปทุกวินาที แต่เหตุใดก่อนเข้าสู่การนิทราจึงไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
“อืม?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ เหตุใดจึงพูดเรื่องนี้
“เขาอยากให้ข้าปกป้องเจ้า” อิ้งหลุนพูดอย่างมั่นใจ “อย่างที่เจ้าพูด เมื่อถึงเวลาที่คับขันขึ้นมา เมื่อเขาตื่นขึ้นมาพบว่าเจ้า…เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เมื่อถึงเวลานั้นไม่ใช่แค่เรื่องของทั้งสามโลกเท่านั้นแล้ว ตามนิสัยของเยี่ยยวน เกรงว่าแม้แต่พวกเขาก็ห้ามไม่อยู่
“…” ฮะ?
“ดังนั้นศิษย์หลานตัวน้อย…” อิ้งหลุนถอนหายใจ ก่อนจะตบเข้าที่ไหล่ของนาง “เจ้าไม่เพียงฝึกฝนแสงแห่งเทพไม่ได้ อีกทั้งยังต้องรับรองว่าตนเองจะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย มิเช่นนั้น…ผลลัพธ์คงจะแย่กว่าการรุกรานของเผ่าปีศาจหลายหมื่นเท่า”
อวิ๋นเจี่ยวนิ่งอึ้ง ไม่ใช่ เหตุใดเขาจึงพูดราวกับอาจารย์ปู่เป็นผู้ก่อการร้าย ดังนั้นนางจึงอดพูดแก้ตัวแทนขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ขนาดนั้น! อาจารย์ปู่แค่หงุดหงิดง่าย แต่ท่านยังคงมีเหตุผล!”
อิ้งหลุน “…”
ชายแก่ “…”
ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!
凸(艹皿艹)
…
ตั้งแต่หนีออกมาจากรอยร้าวระหว่างสามโลก สีฝานก็ว่างขึ้นมา เขาเข้ามาในเสวียนเหมินไม่นาน การฝึกฝนเพิ่งเริ่มต้น เหตุการณ์สำคัญอย่างการทะลุผนึกของโลกปีศาจไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ตัวน้อยอย่างเขาจะออกโรงได้
แต่โชคชะตาที่ฝืนลิขิตสวรรค์ของเขานั้น หากไม่ใช้ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป ดังนั้นเขาจึงติดตามเผ่าชิงหลินไปหุบเขาหมอด้วย เหตุผลหนึ่งคือเผ่าชิงหลินเพิ่งปรากฏบนโลก ภายในเผ่ามีแต่เด็กเล็ก จึงอาจทำให้ยากต่อการปรับตัว อย่างน้อยสีฝานก็เคยอยู่ในเผ่าชิงหลินมาเวลาหนึ่ง หลินซีมีความคุ้นเคยกับเขา ดังนั้นให้เขาช่วยจัดเตรียมจึงเหมาะสมที่สุด
ประการที่สองคือ เผ่าชิงหลินเกิดมาพร้อมกับพลังแห่งพื้นดิน อีกทั้งตอนนี้เป็นเวลาคับขัน นอกเหนือจากการวางกำลังการต่อสู้แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดหาเสบียง
สิ่งที่เสวียนเหมินต้องการก็คงจะมีเพียงอาวุธวิเศษ ยันต์ และยาเท่านั้น ด้วยความพยายามร่วมกันของอวิ๋นเจี่ยวและผู้อาวุโสในแต่ละสำนัก รวมถึงเหล่านักเรียนในห้องเรียนพิเศษแล้ว เสบียงทั่วไปบางอย่างล้วนมีการผลิตออกมา
แต่สิ่งที่เป็นต้นเหตุของปัญหาคือ การจัดหาวัตถุดิบไม่สอดคล้องต่อความเร็วในการผลิต แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หุบเขาหมอและสำนักเสวียนเหมินบางสำนักได้เพิ่มอัตราการเพาะปลูกวัตถุดิบแล้ว แต่วัตถุดิบอย่างพืชวิเศษไม่สามารถปลูกได้ในระยะเวลาอันสั้น วัตถุดิบทางยานั้นยังดี แต่พืชวิเศษบางชนิดใช้เวลากว่าหลายสิบปี บางชนิดใช้เวลากว่านับร้อยปีนับพันปีถึงจะเติบโต
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเสวียนเหมินใช้เวลาเพียงสิบปี ต่อให้เพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกอย่างไรก็ไม่สามารถตามทันวิกฤตในครั้งนี้ได้ ในอดีตเมื่อยามฉุกเฉิน อวิ๋นเจี่ยวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากอาศัยปนเปื้อนต้นสองต้นลงในเมล็ดพันธุ์ที่ให้ชาวสวนอิ้งหลุนไปปลูก
แต่เผ่าชิงหลินนั้นแตกต่างกัน พลังแห่งพื้นดินของพวกเขาสามารถทำให้พืชวิเศษเติบโตได้ในทันที อีกทั้งแร่ธาตุที่หายากบางชนิดก็สามารถเสกขึ้นมาจากพื้นดินได้ พวกเขาเปรียบเสมือนคลังวัตถุดิบเคลื่อนที่ อีกทั้งยังมีปริมาณแบบไม่จำกัด
ดังนั้นเรื่องพืชวิเศษและวัตถุดิบล้ำค่าในครานี้ อวิ๋นเจี่ยวได้สอบถามหลินซีตั้งแต่เริ่มแรก อาจเป็นเพราะความเคยชินในการเฝ้าปกป้องการรุกรานของเผ่าปีศาจมาเป็นเวลานานหรือไม่ เขาตอบตกลงโดยไม่ลังเล สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อมาถึงหุบเขาหมอคือพาคนในเผ่าเพาะปลูกพืชวิเศษ แน่นอนว่าเรื่องนี้นายท่านชางก็รับรู้ ภายนอกวัตถุดิบเหล่านี้ล้วนมาจากหุบเขาหมอ
สีฝานพักอาศัยอยู่ในหุบเขาหมอเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน นอกจากเพิ่มพืชวิเศษกลายพันธุ์บางต้นด้วยความบังเอิญแล้ว เขาก็กลายเป็นคนที่ว่างที่สุด ในขณะที่เหล่าเด็กๆ ของชิงหลินเริ่มคุ้นชินกับโลกภายนอกแล้ว การอยู่ร่วมกันกับลูกศิษย์ในหุบเขาหมอนับวันยิ่งกลมกลืน แม้แต่เด็กที่เล็กที่สุดก็ยังมีงาน ในที่สุดเขาก็รอคอยจนได้รับหมายสารจากสำนักเทียนซือที่เรียกตัวของเขากลับไป
สีฝานรีบเก็บสัมภาระแล้วเดินไปทางค่ายกลขนส่ง สุดท้ายในขณะที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากประตูก็เผชิญเข้ากับชายหนุ่มชุดสีฟ้าคนหนึ่ง ดูท่าทางอายุพอกับเขา อีกทั้งยังรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์ถัง!” เขาจำคนตรงหน้าขึ้นได้จึงรีบทำการคารวะอีกฝ่าย “ขอคารวะอาจารย์ถัง ท่านหายดีแล้ว!” ถึงแม้เขาจะไม่ได้เรียนเป็นเวลาหลายเดือน แต่อาจารย์ถังแห่งสำนักศึกษาเขาก็เคยได้ยินชื่อเสียง อีกทั้งเคยเข้าศึกษาวิชาค่ายกลของเขา ได้ยินว่าถึงแม้เขาจะฝึกฝนทางด้านอาวุธ วิชากระบี่ไร้เทียมทาน แต่ไม่รู้เหตุใดจึงวิ่งไปเรียนในห้องค่ายกล
“สหายสีไม่ต้องเกรงใจ” ถังเฉินยิ้ม “ต้องขอบคุณสหายสีและอาจารย์ทั้งสองที่ช่วยตามหาต้นอ่อนแห่งการกลับคืน รักษาชีวิตของพวกข้าเอาไว้” พูดจบถังเฉินก็ทำท่าทางคารวะอีกฝ่าย
“ล้วนเป็นความชอบของอาจารย์ ข้าไม่ได้ทำอันใดเลย!” สีฝานเขินอายเล็กน้อย เขาโบกมือพลางพูด “อีกทั้งต้นอ่อนแห่งการกลับคืนล้วนได้มาจากหลินซี”
“อย่างไรก็ต้องขอบคุณ! ก่อนหน้านี้ข้าไปพบผู้นำหลินมาแล้ว”
“อ่อ” เขาพยักหน้า “เช่นนั้นอาจารย์ถังมาเพื่อขอบคุณโดยเฉพาะหรือ”
“หนึ่งมาเพื่อขอบคุณ สองมาเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญต่อเจ้า”
“เรื่องสำคัญ?” สีฝานผงะ “เรื่องใด”