ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 336 สำคัญในสำคัญ
“ดังนั้นพวกเราเห็นด้วยกันว่าเรื่องก่อตั้งสาขาดินแดนสวรรค์ไม่ควรรอช้า! ไม่เพียงแต่เพื่อเหล่าลูกศิษย์ที่บรรลุ อีกทั้งยังเพื่ออนาคตของดินแดนสวรรค์ทั้งหมด แน่นอนว่าหากเซียนในดินแดนสวรรค์ต้องการเข้าเรียน พวกเราก็ต้อนรับเช่นกัน” อืม ไม่ใช่เพราะไม่ได้ออกข้อสอบเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความไม่สบายใจอย่างแน่นอน “พวกเราในฐานะอาจารย์ ไม่อาจแบ่งแยกใครได้ ต่อจากนี้สำนักเทียนซือหลักก็ดี หรือสาขาในดินแดนสวรรค์ก็ดี ล้วนต้องได้รับการดูแล” อย่างน้อยก็ยังมีอาจารย์อยู่ด้านล่าง! หากขาดข้อสอบนรกของนางไป พวกเขาคงไม่คุ้นชิน
“อีกอย่าง เวลานี้เสวียนเหมินเหลือเพียงลูกศิษย์ระดับพื้นฐาน หากไม่มีอาจารย์คอยดูแล อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา ดังนั้นพวกเราตัดสินใจ สำนักศึกษาเสวียนเหมินต้องเร่งการเปิดเรียน เช่นนี้ทุกคนจะได้ไม่ลืมความรู้ของเทอมที่แล้ว” ท่านอาวุโสหนึ่งพูดขึ้น “เพียงแต่ลูกศิษย์ที่บรรลุเป็นเซียนแล้ว หลังจากที่ก่อตั้งสำนักการศึกษาเสร็จสิ้น จะสามารถย้ายไปฝึกฝนยังสาขาใหม่เหมือนดั่งในสาขาหลัก”
เหล่าเจ้าสำนักยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ภายในดวงตาฉายแววประกายของการออกข้อ…ถุย! ชาวสวน แต่ละคนควรล้วนเผยสีหน้าราวกับสำนักศึกษาเสวียนเหมินเปิดไปทั่วสามโลกแล้ว อีกทั้งยังไม่รอทั้งสองคนเปิดปากพูด พวกเขาก็ชี้ไปยังเนื้อหาในแผนการ พร้อมอธิบายขึ้นมาทีละข้อ อาจเป็นเพราะประสบการณ์สะสมจากการก่อตั้งสำนักศึกษาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การเลือกสถานที่จนถึงการแบ่งสาขาวิชาหรือแม้แต่การจัดการอาจารย์ ทุกอย่างล้วนแจกแจงไว้อย่างละเอียด อีกทั้งยังมีแผนการในห้าปีสิบปีข้างหน้า หรือร้อยปีข้างหน้า แม้แต่พิธีฉลองการก่อตั้งจะจัดขึ้นเมื่อใดล้วนคิดเอาไว้แล้ว
“อาจารย์ทั้งสอง ท่านคิดว่าแผนการนี้มีปัญหาอันใดหรือไม่ ต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนหรือไม่”
เจ้าสำนักสวีอธิบายจบ ก่อนจะพูดเสริมขึ้น “จริงสิ การข้ามไปมาระหว่างดินแดนสวรรค์และดินแดนมนุษย์มีความยุ่งยาก ไม่สะดวกต่อการแลกเปลี่ยนระหว่างสำนักศึกษา พวกเราวางแผนวางค่ายกลระหว่างดินแดน สร้างความสะดวกในการคมนาคมของทั้งสองโลก เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อย่างสามโลกเป็นหนึ่งเดียว เพียงแต่พวกข้าเจอปัญหายากบนค่ายกลที่ต้องการให้อาจารย์อวิ๋นช่วยเหลือ” หากมีค่ายกลดินแดน ต่อจากนี้การย้ายสำนักการศึกษาจะสะดวกขึ้น
ชายแก่ตกตะลึงอย่างมาก อย่าว่าแต่อ่านแผนการเลย ตอนนี้เขารู้สึกว่าตามความคิดของทุกคนไม่ทันขึ้นมา
อวิ๋นเจี่ยวนอกจากตกตะลึงในตอนแรกแล้ว เธอก็ตั้งสติกลับมาได้ทันที อีกทั้งยังกวาดตามองแผนการบนมืออย่างละเอียด จากนั้นมองไปยังทุกคนที่ตั้งหน้ารอคอยก่อนจะวางแผนการนั้นลง
“แผนการไม่เลว พื้นฐานแล้วไม่มีสิ่งผิดพลาดอันใด” เธอดื่มน้ำชาคำหนึ่งก่อนจะกล่าวสรุป
“รายละเอียดเล็กน้อยสามารถเพิ่มเติมได้อีกในภายหลัง เพียงแต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหา”
ทุกคนผงะ ก่อนจะถามขึ้น “ปัญหาอันใด”
อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น “กำหนดค่าเล่าเรียนหรือยัง”
เจ้าสำนักสวี: “…”
เหล่าเจ้าสำนัก: “…”
ชายแก่: “…”
…
สำนักเทียนซือดำเนินการอย่างรวดเร็ว เวลาไม่ถึงสามเดือน สาขาสำนักการศึกษาในดินแดนสวรรค์ก็เริ่มเปิดรับนักเรียนแล้ว นอกจากลูกศิษย์ที่บรรลุแล้ว พวกเขายังเปิดรับเหล่าเซียนบนดินแดนสวรรค์ แต่ก็ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับหนึ่งปัญหาคือการจัดการด้านอาจารย์ อาจารย์ในสำนักการศึกษาเดิมทีมีความเพียงพออย่างมาก เพียงแค่ท่านอาวุโสและเจ้าสำนักของแต่ละสำนักก็มีกว่าหลายร้อยคนแล้ว อีกทั้งเหล่าลูกศิษย์ที่จบการศึกษาในหลายปีนี้ เป้าหมายหลักของพวกเขาก็คือการสอบใบอนุญาตอาจารย์ จากนั้นกลับไปสอนหนังสือในสำนักศึกษา
ดังนั้นอาจารย์เสวียนเหมินจึงมีจำนวนมาก นอกจากอาจารย์ในวิชาที่จำเป็นแล้ว คนอื่นล้วนสอนไม่ถึงสองคาบต่อหนึ่งสัปดาห์ อีกทั้งพวกเขายังเพิ่มระดับความยากในการสอบใบอนุญาตขึ้นอีก แต่เมื่อมีสาขาแล้ว อาจารย์ส่วนใหญ่ล้วนมีตารางที่แน่นเอียด อีกทั้งยังมีอาจารย์บางคนต้องหมุนเวียนไป
อีกทั้งค่ายกลข้ามดินแดนยังไม่สำเร็จ เพียงแค่ขึ้นลงก็สูญเสียเวลาไปจำนวนมาก ดังนั้นเจ้าสำนักสวีจึงเสนอให้มีการจัดสอบอนุญาตอาจารย์เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มบุคลากรให้มากขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวรับปาก วันนั้นเธอกลับไปออกข้อสอลสิบชุด อีกทั้งเร่งการวิจัยค่ายกลข้ามดินแดน หลังจากรูปร่างของค่ายกลสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว เธอก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้
“จริงสิชายแก่ จี้เฟิงล่ะ?” เธอมองไปรอบด้าน ครั้งก่อนรับปากให้จี้เฟิงพักอาศัยอยู่ในชิงหยางเป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในความตะลึงต่อเหล่าเจ้าสำนักสวี จึงลืมที่จะบอกอีกฝ่ายว่าให้จัดเตรียมที่พักให้จี้เฟิง ตามหลักแล้วเขาควรจะยังอยู่ที่ชิงหยาง แต่หลายเดือนมานี้ ภายในอารามไม่เห็นร่างของเขาแม้แต่น้อย ราวกับไม่มีเขาอยู่ หากไม่ใช่การสอบใบอนุญาตกำลังจะเริ่มต้น เธอใกล้จะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ชายแก่รู้ดีอย่างมาก เขาตอบรับ “อ่อ เขากำลังอ่านตำราอยู่!”
อวิ๋นเจี่ยวผงะไป “ตำราที่ท่านให้เขายังอ่านไม่จบหรือ” เวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว เขาคงไม่ใช่เทพปลอมหรอกนะ
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายแก่ส่ายหัว “ข้ามีตำราอีกบางส่วนให้เขาเพิ่ม จากนั้นเขาก็ไม่ออกมาอีกเลย”
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ก่อนจะกระชับอีกฝ่าย “ท่านไปบอกเขา สามวันหลักจากนี้มีการสอบใบอนุญาต ให้เขาเตรียมตัวเข้าร่วม”
“ได้” ชายแก่พยักหน้า ก่อนจะเดินไปยังห้องพักของจี้เฟิง
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจ จนกระทั่งสามวันหลัง เธอพบเห็นคนที่ซูบผอมลงไป ใบหน้าหมดความอาลัยอาวรณ์ เดินออกมาจากห้องอย่างโซซัดโซเซ
“ท่าน!” ชายแก่ตกใจ เขากวาดตามองใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นลง “จี้…จี้…จี้เฟิง?! เจ้าเป็นอะไรไป ถูกผีดูดพลังหรือ” สภาพของเขาในตอนนี้แตกต่างจากตอนแรกที่เจออย่างมาก
จี้เฟิงเผยยิ้มขมขื่นออกมา ก่อนจะชี้ไปยังตำราภายในห้อง “ตำราที่สหายไป๋ให้มานั้นลึกล้ำเกินไป เพื่อเร่งให้ทันการสอบ จึงสูญเสียพลังไปบ้างเท่านั้น”
“…” ดังนั้นเขาทำแบบฝึกหัดจนมีสภาพเช่นนี้? ชายแก่มองเขาอย่างเห็นใจ ที่แท้เผ่าเทพก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวกเขา ชายชรามีความรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมขึ้นมา อืม…ครั้งหน้าเขาอาจให้คำตอบส่วนหนึ่งแก่เขา
อวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้างทำหน้าฉงน “เหตุใดท่านจึงไม่ใช้จิตดูตำราเหล่านั้น” จิตของเผ่าเทพแข็งแกร่งมาก แตกต่างจากพวกเขา ตำราเพียงไม่กี่เล่มหากใช้จิตกวาดดูเนื้อหาก็ล้วนจะผนึกอยู่ในหัว ง่ายกว่าเครื่องทำสำเนาเสียอีก ตอนนั้นอาจารย์ปู่ตรวจการบ้านของเธอ เขาก็เพียงแค่กวาดตามองก็รู้ว่าเธอเขียนอะไร ไม่มีทางที่จี้เฟิงจะไม่รู้?!
ทันทีที่สิ้นเสียง สีหน้าของจี้เฟิงยิ่งแย่ลง “การใช้จิตดูสะดวกอย่างมากก็จริง แต่คำถามบางข้อยังต้องใช้การครุ่นคิด” เขารู้วิธี แต่คำถามเขาตอบไม่ได้ จิตไม่มีทางมีคำตอบให้เขา คำถามวิชาเวทค่อนข้างง่าย แต่เมื่อถึงคำถามที่ลึกลงไป เขาก็อ่านไม่เข้าใจแล้ว โดนเฉพาะคำถามเกี่ยวกับค่ายกล เดิมทีค่ายกลดินแดนมนุษย์แตกต่างอย่างมากจากค่ายกลเผ่าเทพอยู่แล้ว อีกทั้งวิธีการวางต่างๆ เขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเข้าใจ