ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 35 อาการป่วย
“เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกี่ครั้ง” ชายหนุ่มเสื้อฟ้าด้านข้างของหูฝูก็อดไม่ได้ที่จะถาม
สีหน้ากังวลบนใบหน้าท่านเซ่ายิ่งหนักขึ้น “เป็นเช่นนี้ทุกวัน”
“อะไรนะ!” ทุกคนต่างตะลึง “เขาเป็นเช่นนี้ทุกวัน?”
“ใช่แล้ว!” ท่านเซ่าพยักหน้าตอบ “ทุกวันเมื่อถึงเวลายามจื่อ ลูกชายข้าจะออกจากห้องไปอย่างไร้สาเหตุ ข้าเคยสั่งให้เด็กรับใช้ในบ้านคอยเฝ้าดู แต่ไม่ว่าจะเฝ้าอย่างไร เขาก็หาวิธีออกไปได้เสมอ ราวกับเขาสามารถหายตัวออกจากห้องไปอย่างใดอย่างนั้น แต่ในวันถัดมาเขาจะปรากฏตัวอยู่ในห้องอย่างตรงเวลา อีกทั้งบนตัวเขา…” เขาราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ ใบหน้าปรากฏความหวาดกลัว “มักจะมีรอยประหลาดติดมาด้วยอย่าง…รอยเลือด!”
“เลือด?” สีหน้าของทุกคนยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น ท่าทางก็เริ่มกระวนกระวาย ในหัวปรากฏความคิดเชื่อมโยงที่ไม่ค่อยดีขึ้นมา หายตัวไปในตอนกลางคืนอีกทั้งยังมีเลือดติดกลับมา “หรือว่า…”
เคร๊ง!
ในขณะที่กำลังเคร่งเครียดกัน เสียงดังส่งออกมาจากใต้โต๊ะ กระบอกไม้ไผ่ข้างมือของอวิ๋นเจี่ยวล้มลงไปอย่างไร้สาเหตุ กระแทกเข้ากับถ้วยที่บรรจุน้ำแกงไว้เต็มถ้วย ถ้วยน้ำแกงที่โดนกระแทกนั้นหล่นลงโต๊ะไปแตกละเอียด
ทุกคนที่เดิมกระวนกระวายอยู่แล้วยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ ทั้งห้องเงียบสงัด ทั้งโต๊ะเหลือเพียงแต่เสียงกระบอกไม้ไผ่สีเขียวที่กลิ้งอยู่บนโต๊ะ ทันใดนั้นสายตาทุกคู่จับจ้องมองมา
อวิ๋นเจี่ยวตัวแข็งทื่อ เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นในหู “หึ อาหารหมู!” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ นี่มันของอะไรช่างไม่อร่อยเสียจริง กล้าที่จะยกออกมาได้อย่างไร
อวิ๋นเจี่ยว และ ไป๋อวี้ที่ได้ยินเสียงนั้นเพียงสองคน “…”
สถานการณ์กระอักกระอ่วนไปชั่วครู่…
สักพักหนึ่ง
อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือจับไปยังกระบอกไม้ไผ่ที่ยังคงกลิ้งไปมาอย่างมั่วซั่วนั้นไว้ เงยหน้าที่ยังคงมีแต่ความเคร่งขรึมจริงจัง หันไปมองไป๋อวี้ก่อนจะเอ่ย “ขอโทษที เขาอายุมากแล้ว มือสั่นไปหน่อย!”
ทันใดนั้น สายตาที่จับจ้องอยู่บนตัวนางหันควับไปหาคนที่อยู่ด้านข้างแทน สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยการกล่าวโทษ
ไป๋อวี้ที่โดนโยนความผิดมาให้ “…” เมี๊ยวๆๆ ?
(⊙_⊙)?
ทำไมเป็นข้าอีกแล้ว
“ไม่เป็นไร! แค่ถ้วยๆ เดียวเท่านั้น เปลี่ยนใบใหม่ก็พอ!” ท่านเซ่ารีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ เรียกให้เด็กรับใช้มาเก็บกวาดเศษซากของถ้วยบนพื้น ก่อนจะเชิญชวนให้ทุกคนกินข้าวต่อ
ทุกคนต่างมองไป๋อวี้ด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจต่อว่าเขาได้เพียงเพราะทำถ้วยแตกหนึ่งใบ จึงทำได้เพียงหันหน้ากลับไม่สนใจเขา
ไป๋อวี้ “…” MMP!
หันหน้าไปมองกระบอกไม้ไผ่ในมือของอวิ๋นเจี่ยว น้อยใจ แต่ไม่กล้าพูด!
‧º·(˚˃̣̣̥᷄⌓˂̣̣̥᷅)‧º·
กลัวคนบางคนไม่พอใจขึ้นมา โยนถ้วยยังไม่พอ ยังจะพาให้โต๊ะคว่ำไปด้วย ถึงแม้เขาเองก็รู้ว่าอาหารบนโต๊ะนี้สู้ที่เจ้าหนูทำไม่ได้ แต่ท่านอาจารย์ปู่ อยู่ข้างนอกท่านสามารถอดทนหน่อยได้หรือไม่
ทางอวิ๋นเจี่ยวกลับเปิดกระเป๋าข้างตัวอย่างใจเย็น หยิบขนมออกมาหลายชิ้นอย่างเงียบสงบ ก่อนที่จะเปิดกระบอกไม้ไผ่และยัดขนมลงไป ทันใดนั้นกระบอกไม้ไผ่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
“ท่านเซ่า!” ทุกคนต่างเริ่มหารือกันเรื่องอาการป่วยของเซ่าเซี่ยนขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าว่าลูกชายของท่านอาจถูกสิ่งชั่วร้ายที่ไม่ธรรมดาตามรังควาน อาการป่วยถึงได้ไม่ดีขึ้นเลย ที่เขาหายไปเมื่อยามจื่อทุกวัน จะต้องเป็นเพราะสิ่งชั่วร้ายนั้นนำพาเขาไปเป็นแน่ หากต้องการช่วยเขา คงต้องรู้ก่อนว่าอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่”
“ถูกต้อง!” อีกคนเอ่ยเสริม “หรือไม่คืนนี้ให้พวกข้าเป็นคนเฝ้าลูกชายท่าน ให้พวกข้าดูสิ่งชั่วร้ายนั่นว่าคืออะไร”
คนอื่นต่างพยักหน้าบ่งบอกว่ายินดีที่จะอยู่เฝ้าเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
“ดี งั้นคงต้องลำบากท่านทั้งหลาย!” ท่านเซ่าสีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ รีบเรียกให้เด็กรับใช้เข้ามา “ตอนนี้เวลายังเช้าอยู่ พวกท่านเชิญไปพักผ่อนที่ห้องรับรองแขกก่อน”
ทุกคนก็ไม่ได้ปฏิเสธ ข้าวกินจนใกล้เสร็จแล้ว ทุกคนต่างลุกขึ้นเข้าห้องรับรองแขกไปพักผ่อน ทางอวิ๋นเจี่ยวและอีกสองคนก็ลุกขึ้น เดินไปทางห้องรับรองแขก
…
ถึงจะบอกว่าเป็นการพักผ่อน แต่เมื่อถึงห้องรับรองแขก ทุกคนต่างวุ่นวายเรื่องของตนเองขึ้นมา สร้างข่ายพลังบ้าง ติดยันต์บ้าง แต่ละคนล้วนขยันขันแข็ง อยากจะแย่งชิงกันเป็นคนขับไล่สิ่งชั่วร้ายสำเร็จเป็นคนแรก แต่ทางอวิ๋นเจี่ยวทั้งสามคนกลับไม่มีแม้แต่ขยับตัว
ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากขยับ แต่ที่สำคัญคือพวกเขาคนหนึ่งเป็นหมอพลังลมปราณ ส่วนอีกคนวาดยันต์เป็นเท่านั้น ส่วนอีกคนที่ดูเหมือนจะพึ่งพาได้ที่สุดอย่างตาโจว ก็ทำได้เพียงแค่ดูดวง อยากจะเตรียมการก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเตรียมจากตรงไหน
อาจเป็นเพราะทั้งสามคนนิ่งเงียบเกินไป พวกเขาจึงได้รับความดูถูกจากคนอื่นๆ เหลือเพียงแต่เขียนไว้บนหน้าว่าพวกเขาเป็นหมอผีหลอกคนเท่านั้น
ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง ทุกคนต่างเริ่มตึงเครียดขึ้นมา ทุกคนต่างล้อมรอบอยู่บริเวณนอกห้องของเซ่าเซี่ยน บ้างอยู่ในที่สว่าง บ้างอยู่ในที่มืด รอคอยสิ่งชั่วร้ายนั้นปรากฏตัว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ยิ่งตกดึกบรรยากาศรอบข้างยิ่งหนาวเย็นลง ราวกับมีลมหนาวพัดเข้าสู่ร่างกาย
ทุกคนเฝ้าดูเป็นเวลาหลายชั่วยาม แต่ก็ไม่พบปรากฏการณ์แปลกประหลาดอะไร จนกระทั่งใกล้เวลายามจื่อ รอบด้านยิ่งมืดลงไป ดวงจันทร์ก็หลบเข้าหลังกลุ่มเมฆ ทันใดนั้นในสวนก็มีลมพัดเข้ามา ทำให้สวนที่เดิมอุณหภูมิต่ำอยู่แล้วยิ่งต่ำลงไปอีก
“มาแล้ว!” ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมา ทุกคนต่างจับจ้องไปยังประตูห้อง บ้างถือยันต์ บ้างควักอาวุธ แต่ลมนั้นกลับไม่ได้พังประตูเข้าไป หยุดลงอย่างกะทันหันเช่นเดียวกับตอนมา ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ๊ะ?” ทุกคนต่างตะลึงตามกันไป หรือว่าที่มานั้นจะไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย หรือว่ามันเห็นพวกเขาแล้ว ทุกคนรอไปสักพัก แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ราวกับลมเมื่อสักครู่นั้นเป็นเรื่องบังเอิญ
“แปลกจริง!” ชายแก่ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะพึมพำ “ไม่ใช่ว่าทุกวันตอนยามจื่อเหรอ ตอนนี้มันเลยเวลาไปแล้วหรืออย่างไร”
อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังประตูที่ปิดสนิท สายตาเต็มไปด้วยความหนักหน่วง เอ่ยปากพูดอย่างกะทันหัน “ท่านไม่คิดว่า…ในห้องมันเงียบสงบเกินไปหน่อยเหรอ”
เอ๊ะ?” ชายแก่ตะลึง ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป ตาเบิกโพลง “เห้ย! นายน้อยเซ่า!”
พูดจบก็หันหลังเดินพุ่งเขาไปในห้อง คนอื่นต่างตกใจ กำลังจะหยุดยั้งไม่ให้เขาทำลายยันต์บนประตู แต่ว่าไป๋อวี้ได้บุกเข้าไปแล้ว พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “คนล่ะ?”
เห็นเพียงแต่ห้องเปล่า คนที่เดิมยังนอนอยู่บนเตียงนั้น ตอนนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งบริเวณรอบข้างยังไม่มีร่องรอยของยันต์ที่ถูกใช้ เหมือนกับว่าคนที่อยู่บนเตียงนั้นหายตัวไปกลางอากาศ
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร!” คนที่ตามเข้ามาเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “พวกเราติดยันต์เอาไว้แล้วแท้ๆ”
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองบนเตียง ก่อนจะหันหน้าไปเอ่ยเตือน “ยันต์ติดตาม!”
ไป๋อวี้ถึงได้สติ “อ่อๆ” ก้มหน้าควักยันต์ใบหนึ่งออกมา ท่องคาถาในใจ ทันใดนั้นยันต์ก็กลายเป็นนกกระดาษ บินอยู่ในห้องหลายรอบ ก่อนจะบินออกไปทางหน้าต่าง
“ตาม!” ทุกคนต่างวิ่งตามนกกระดาษของไป๋อวี้ออกไป ทางกลุ่มของอวิ๋นเจี่ยวก็ตามไปเช่นกัน
นกกระดาษบินอย่างรวดเร็ว ราวกับหาทิศทางเจอ มุ่งไปทางทิศเหนือ ทุกคนตามออกไปอย่างเร่งรีบ บางคนยังใช้ยันต์ลดขนาดพื้นดินเพราะกลัวตามไม่ทัน เห็นเพียงแต่นกกระดาษนั้นบินออกนอกเมืองแล้วก็ยังไม่หยุดลง แต่กลับยิ่งบินยิ่งเร็ว
ถึงแม้จะมียันต์ลดขนาดพื้นดิน แต่ทุกคนก็วิ่งตามจนเหนื่อยหอบ วิ่งราวกว่าหนึ่งชั่วยาม นกกระดาษนั้นถึงได้ลดความเร็วลง สุดท้ายหยุดอยู่ ณ ที่หนึ่ง รอจนพวกเขาตามมาก็บินกลับเข้ามือของไป๋อวี้ แล้วลุกไหม้กลายเป็นเถ้า
“ที่นี่คือที่ไหน” หูฝูพลางหอบหายใจหนัก พลางสังเกตรอบด้าน เมื่อกี้เขาวิ่งตามมาอย่างรีบร้อนไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่าพวกเขาอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างรกร้างและแห้งแล้ง แทบจะไม่เห็นอะไรที่เป็นสีเขียว มีแต่เพียงหญ้าแห้งสูงเท่าตัวคนและก้อนหินมากมาย “นายน้อยเซ่าละ?” นกกระดาษนั้นบินตามกลิ่นของเซ่าเซี่ยนมา แต่ว่าที่นี่กลับไม่มีเงาของอีกฝ่าย