ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 356 สวมหมวก
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึงกับภาพตรงหน้าอย่างมาก เธอไม่เคยเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามจนน่าตกตะลึงเช่นนี้มาก่อน มันเป็นทิวทัศน์ที่แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็ไม่อาจทำออกมาได้ แต่กลับปรากฏขึ้นต่อหน้าของเธอจริงๆ
“นี่คือปีศาจเมฆ” ซื่อไป๋มองมายังเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เป็นอย่างไร ทิวทัศน์เช่นนี้คุณค่าแก่การชมหรือไม่”
“…” อวิ๋นเจี่ยวไม่ตอบ เพียงแต่มองภาพที่น่าตกตะลึงตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
ซื่อไป๋ยิ้มหว้างขึ้น รอคอยทะเลหมอกกลับสู่ความสงบอย่างนิ่งเงียบ ก่อนจะพูดขึ้น “พาเจ้าไปอีกที่”
พูดจบก่อนจะไหวตัวอีกครั้ง พาอวิ๋นเจี่ยวหายตัวไป
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกภาพตรงหน้ามืดลง พวกเขามาถึงบริเวณท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทุกสิ่งบริเวณรอบข้างหายไป เหลือไว้เพียงดวงดาวเต็มท้องฟ้า รวมตัวกันเป็นทางจำนวนมาก ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางจักรวาลในทันใด ครานี้ไม่ได้น่าตกตะลึงเท่าครั้งก่อน ถึงดวงดาวจะสวยงาม แต่เธอก็เคยเห็นในภาพยนตร์จำนวนไม่น้อย
“ไม่เพียงเท่านี้!” ราวกับอ่านความคิดของเธอออก ซื่อไป๋ยกมือขึ้นกะทันหัน ก่อนจะโบกไปทางทะเลดวงดาวตรงหน้า นาทีถัดมา เห็นเพียงดวงดาวเต็มท้องฟ้านั้นลอยเข้ามาใกล้
เธอถึงพบว่า ดวงดาวเหล่านั้นไม่ใช่ดาวเคราะห์ แต่เป็นแสงดวงเล็กท่ามกลางท้องฟ้า แสงเหล่านั้นเหมือนถูกบางอย่างชักนำ พวกมันรายล้อมคนทั้งสองเอาไว้ อีกทั้งรวมตัวกลายเป็นรูปร่างต่างๆ บ้างกลายเป็นม้างาม บ้างกลายเป็นกระต่าย อีกทั้งยังสามารถกลายเป็นมังกรหรือหงส์ได้ พวกมันรายล้อมอยู่รอบตัวคนทั้งสองราวกับต้องการเอาใจ
เธอเหมือนกำลังดูการแสดงแสงไฟที่หรูหราและลายตา เธอเอื้อมมือออกไปสัมผัสสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการรรวมตัวของดวงแสงเหล่านั้น แต่สิ่งที่ประหลาดคือ เธอรู้สึกได้ว่าระหว่างนิ้วและดวงแสงเหล่านั้นมีความเชื่อมโยงกันบางอย่างขึ้น ราวกับว่าเธอสามารถควบคุมพวกมันได้
“นี่คือแสงแห่งวิญญาณ!” ซื่อไป๋อธิบายขึ้นอีกครั้ง “เป็นสิ่งที่ก่อเกิดแม่น้ำหยิน วิญญาณที่สมบูรณ์แบบมีแรงดึงดูดอย่างมากต่อพวกมัน เพียงแค่สัมผัสก็สามารถทำให้พวกมันกลายเป็นรูปร่างใดก็ได้”
อวิ๋นเจี่ยวขยับนิ้ว ทันใดนั้นดวงแสงที่เธอสัมผัสนั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ ตามใจเธอท่ามกลางอากาศ บางทีกลายเป็นรูปตัวอักษรเอส บางทีกลายเป็นรูปตัวอักษรบี
“เอ๊ะ? ตัวอักษรเช่นนี้ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก” ซื่อไป๋มองไปยังตัวอักษรทั้งสองที่แขวนไว้เหนืออากาศอย่างสงสัย
“เจ้าชอบ!” อวิ๋นเจี่ยวหมุนมือ อักษรทั้งสองตัวก็ลอยเข้ามาหาเขา “มอบให้เจ้า”
“จริงหรือ” ซื่อไป๋ตาลุกวาว
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าอย่างมั่นใจ
ซื่อไป๋มองเธอทีหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ให้เธอ “เช่นนั้น ข้าไม่เกรงใจแล้ว” ภายในดวงตาของเขามีบางอย่างแวบผ่านไป รอยยิ้มเผยกว้างขึ้น พลางใช้วิชาเวทสะกดตัวอักษรทั้งสองไว้ พลางพูดอย่างตื่นเต้น “อักษรที่พิเศษเช่นนี้ควรจะทิ้งไว้ท่ามกลางท้องฟ้านี้ตลอดกาล”
สิ้นเสียง อักษรทั้งสองตัวลอยขึ้นไปด้านบนราวกับถูกสะกดเอาไว้ แขวนไว้กลางอากาศอย่างมั่นคง ไม่สลายไปอีก
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้นมอง “เอสบี” ที่แขวนไว้กลางอากาศด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง…
พวกเขาไม่ได้อยู่บริเวณแห่งนี้นานมาก ซื่อไป๋ราวกับกำลังสนุก เขาพาเธอไปดูฝนดอกไม้ที่ตกลงมาตลอดปี บ่อน้ำที่สามารถกลายร่างเป็นนางเงือกร้องเพลง และเต่าที่แบกพื้นดินเดินทาง
อวิ๋นเจี่ยวมีความรู้สึกเหมือนกำลังท่องเที่ยวอยู่ ส่วนซื่อไป๋คือนักท่องเที่ยวที่กำลังทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เขาอธิบายทิวทัศน์ที่สวยงามและแปลกใหม่ให้เธออย่างละเอียด อีกทั้งน้ำเสียงยิ่งอ่อนโยนและทุ่มต่ำ รอยยิ้มมุมปากยิ่งชัดเจน ทำให้อวิ๋นเจี่ยวขนลุกไปทั้งตัว ถึงแม้บนใบหน้ายังคงเคร่งขรึมเหมือนเดิม แต่ภายในใจกลับอยากข่วนหน้าของเขาขึ้นมา
“เป็นอย่างไร” จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง เขาถึงได้หยุดลง หันมาพุดกับเธอด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน
“ชอบสิ่งที่เห็นหรือไม่”
“…” น้ำเสียงนี้คืออะไรกัน
อีกฝ่ายหมุนมือ ทันใดนั้นดวงดาวรวมตัว ปิ่นปักผมที่ก่อตัวจากดวงดาวปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาส่งมาให้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นบนหน้า “ก่อนหน้านี้เจ้ามอบแสงดาวให้ข้า ข้าชอบมาก ตอนนี้ข้ามอบคืนให้เจ้า เจ้าชอบหรือไม่”
“…” เขาพูดถึงตัวอักษรสองตัวนั้นเหรอ รสนิยมประหลาดดี!
ซื่อไป๋ไม่รับรู้สึกความในใจของเธอ เมื่อเห็นเธอไม่รับ เขาเดินขึ้นหน้าทำท่าจะเสียบปิ่นปักผมเข้าที่ผมของเธอ ดวงตาลุกวาวเป็น ใบหน้าอ่อนโยนราวกับน้ำที่กำลังจะล้นออกมา
อวิ๋นเจี่ยวกระจ่างทันที เธอพุดขึ้น “ท่านกำลังจีบข้า?”
“…” ตรงขนาดนี้หรือ
ซื่อไป๋ชะงักมือไป แม้แต่รอยยิ้มสมบูรณ์แบบบนหน้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจีบคือ แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดาความหมายของอีกฝ่าย
อวิ๋นเจี่ยวระอาอย่างมาก เดี๋ยวดูดวงดาวเดี๋ยวดูทะเล ครานี้ยังให้ของขวัญอีก วิธีการจีบผู้หญิงของผู้ชายช่างเหมือนกันเสียจริง
ซื่อไป๋ดวงตาลุกวาว ก่อนที่สีหน้าจะเผยให้เห็นความเขินอายเล็กน้อย “ชัดเจนเพียงนี้หรือ”
เขาเผยรอยยิ้มพยักหน้า ก่อนจะใช้น้ำเสียงราวอ่านบทกลอนพร้อมมองมายังเธอด้วยสีหน้ารักใคร่
“ใช่ ข้าชอบเจ้า เจ้าเป็นหญิงที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยพบมา ข้าไม่อาจไม่หวั่นไหวได้ ข้าไม่เคยรู้ว่าอะไรคือความรักจนกระทั่งเจอเจ้า ถึงแม้มีชีวิตมานานเพียงนี้ ข้าไม่เคยมีความรู้สึกนี้มาก่อน เจ้ายอม…”
“ข้าไม่ยอม!” อวิ๋นเจี่ยวปฏิเสธทันควัน
“ฮะ?!” ซื่อไป๋ชะงักไปอีกครั้ง ราวกับไม่คิดว่าเธอจะปฏิเสธรวดเร็วถึงเพียงนี้ เขาเผยสีหน้าเสียใจอย่างมากออกมา ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ารู้…ภายในเจ้ามีคนอื่น ดังนั้นข้าจึงไม่ได้พูดออกมา เดิมทีคิดว่าเพียงแค่มองเจ้าเช่นนี้ก็พอ ตอนนี้ข้าก็แค่อยากให้เจ้ารู้ว่าข้าจริงใจกับเจ้า”
“จริงหรือ” อวิ๋นเจี่ยวหรี่ตาลง
ดวงตาของเขาลุกเป็นประกาย ความรักใคร่ภายในดวงตาราวกับจะล้นออกมา “จริงดแท้แน่นอน! ข้าซื่อไป๋ชอบเจ้าเพียงคนเดียว”
“อ่อ...” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ท่านรู้ว่าข้าชื่ออะไร”
“เอ๊ะ?” สีหน้าของเขาชะงักไป ดวงตากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก: “ศิษย์…ตัวน้อย?” อิ้งหลุนเรียกนางเช่นนี้
อวิ๋นเจี่ยวตอบกลับเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม: “เฮอะ เฮอะ!”
แม้แต่ชื่อยังไม่รู้ จะบอกว่ารักใคร่อะไรกัน เจ้าหลอกใคร?!
“เจ้าเชื่อข้า!” ซื่อไป๋เริ่มแก้ตัวอย่างกระวนกระวาย “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ชื่อเจ้า แต่ข้าจริงใจต่อเจ้า ที่จริงข้าแค่…”
“ท่านเพียงแค่อยากให้ข้าเปลี่ยนใจ จากนั้นยั่วโมโหอาจารย์ปู่ใช่หรือไม่” ไม่รอเขาพูดจบ อวิ๋นเจี่ยวพูดขัดการแสดงด้อยค่าของเขาอีกครั้ง อีกทั้งเปิดโปงเขาในทันที
“…” สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวไป
“ยังไม่ต้องพูดถึงความคิดของท่านโง่เขลาแค่ไหน ข้าไม่เข้าใจเสียจริง ชายอย่างพวกท่านล้วนคิดว่าการแย่งหญิงสาวจากมือของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ภาคภูมิใจมากและได้หน้าอย่างมากหรือ ถึงแม้ตัวเองจะรังเกียจการถูกสวมหมวกสีเขียวอย่างมาก แต่ชอบที่จะสวมให้คนอื่น?” ตกลงว่ามันคือความบิดเบี้ยวของมนุษย์ หรือความตกต่ำของคุณธรรม
ซื่อไป๋: “…”