ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 358 เทพแห่งการสร้างโลก
ดูออกเหรอ!
ซื่อไป๋ผงะไป เขาก้มหน้ามองไปยังคนตรงหน้าด้วยความสงสัย สักพักถึงได้หัวเราะออกมาเสียงเบา
“คนดินแดนอื่นล้วนเป็นเหมือนเช่นเจ้าหรือ ข้าชักจะสนใจดินแดนของพวกเจ้าเข้าเสียแล้ว” ในเมื่อถูกเปิดโปง เขาก็ไม่มีท่าทีปิดบังต่อ เพียงแต่เงยหน้ามองไปยังเผ่าปีศาจที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างโครมคราม พึมพำเสียงเบา “เทพปีศาจ…คำเรียกนี้ก็ไม่ผิด”
พูดจบ เขาโบกมือขึ้น เห็นเพียงแต่แสงสีขาวแสบตากวาดผ่านไปยังกองทัพปีศาจที่พุ่งตัวเข้ามา ราวกับสายลมอ่อนที่พัดผ่านทั้งที่อ่อนโยนไม่มีแม้กระทั่งเสียง นาทีถัดมาโลกทั้งใบราวกับถูกกดปุ่มหยุดเองไว้ เสียงร้องคำรามแปลกประหลาดรอบด้านหยุดชะงักลง พลังปีศาจสีดำสลายไปทันที ราวกับควันที่ถูกลมพัดสลายไป แม้แต่เผ่าปีศาจจำนวนมากด้านล่างก็หายไปเช่นเดียวกัน
บริเวณรอบด้านแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นดินแดนปีศาจที่อ้างว้างเหมือนเคย ด้านบนไม่มีปีศาจแม้แต่ตัวเดียว
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
เธอเดินขึ้นหน้าอย่างเหลือเชื่อ มองไปยังด้านหน้าที่ว่างเปล่า เพียงแค่ชั่วพริบตา กองทัพปีศาจที่หลั่งไหลเข้ามานั้นล้วนสลายไป ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นภาพลวงตา นี่คือพลังของราชาเทพผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดแห่งดินแดนเทพ?
“อย่างไร เห็นใจพวกมันหรือ” ซื่อไป๋คิดว่าเธอเกิดความสงสารต่อเผ่าปีศาจเหล่านั้น เขาหัวเราะเสียงเย็น “วางใจ พวกเขาก่อเกิดจากความคิดชั่วร้าย ความคิดชั่วร้ายบนโลกไม่ถูกกำจัด เผ่าปีศาจไม่มีทางสูญพันธุ์ พวกมันเพียงแค่สลายไปชั่วคราว เมื่อถึงวันหนึ่งพลังปีศาจที่นี่จะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอีกครั้ง”
ราวกับเหนื่อยที่จะปิดบัง พลังสีม่วงบนตัวของซื่อไป๋หายไป รอบตัวเขาปรากฏแสงสีทองออกมาอย่างเลือนลาง ดูแล้วเหมือนเทพในเทพนิยายจริงๆ
“เพียงแต่คำเรียกราชาเทพนี้ ข้าไม่ได้ยินมานานแล้ว” เขาโบกมือข้างหนึ่ง แสงแห่งวิชาเวทถูกส่งออกไปอย่างต่อเนื่อง เห็นเพียงบริเวณรอบด้านปรากฏเสาสีทองพุ่งทะยานขึ้นฟ้าราวกับเสาในคุก ลาดยาวไปตลอดทาง ล้อมรอบดินแดนปีศาจเอาไว้อย่างแน่นหนา
นี่คือ…
“แสงแห่งเทพ!” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง นี่คือค่ายกลเผ่าเทพที่ใช้ในการผนึกดินแดนปีศาจก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ
ไม่ถึงชั่วครู่ หลังจากที่เสาทุกต้นถูกวางสำเร็จ เธอลองสัมผัสดู ตอนนี้เธอไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่ทะลุออกมาจากทางยมโลกแล้ว ยมโลกและดินแดนปีศาจถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ค่ายกลแข็งแกร่งเช่นนี้ เขาวางมันได้อย่างง่ายดาย!
อวิ๋นเจี่ยวโล่งใจ ถึงแม้จะไม่ชอบซื่อไป๋เท่าใดนัก แต่ค่ายกลแสงแห่งเทพนี้ได้กำจัดวิกฤตดินแดนทั้งสามได้อย่างแท้จริง ต่อจากนี้อีกหลายหมื่นปี ทั้งสามดินแดนไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาเรื่องเผ่าปีศาจอีกแล้ว
“เจ้ารู้จักค่ายกลแสงแห่งเทพ?” ซื่อไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกมา ก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ “เยี่ยยวนบอกเจ้าหรือ!”
เขาราวกับนึกบางอย่างได้ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มมีนัยยะให้อีกฝ่าย “จริงสิ ในเมื่อคนดินแดนอื่นอย่างเจ้าฉลาดเพียงนี้ รู้ว่าข้าไม่ใช่เทพปีศาจ เช่นนี้เจ้าลองทายดูว่าใครคือเทพปีศาจ”
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
ทายอะไรกัน เจ้ามันร้ายกาจ!
…
ซื่อไป๋ไม่ได้ให้เธออยู่ในดินแดนปีศาจเป็นเวลานาน อาจเพราะกลัวว่าอิ้งหลุนจะสัมผัสได้ เขาพาเธอกลับไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยดอกไม้อีกครั้ง
คำถามที่เขาถามก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะไม่ได้รับคำตอบจากอวิ๋นเจี่ยว หลังจากกลับมาถึงเขาก็พยายามถามเธออย่างอ้อมค้อม คิดจะหาคำตอบที่ตนเองอยากได้ออกมาจากปากของเธอ
อวิ๋นเจี่ยวไม่อยากสนใจเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางทำอะไรกับเธออย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงตั้งตารอให้คนมาช่วยอย่างอดทน เธอไม่ได้อยากนั่งรอเฉยๆ แต่พลังระหว่างทั้งสองคนห่างกันมากเกินไป ถึงแม้เธอจะมีความรู้อยู่เต็มสมอง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากำลังก็ทำได้เพียงยอมแพ้
วิธีที่ดีที่สุดคือรออาจารย์ปู่มาช่วย ชายแก่นำอาวุธคำสาปกลับไปแล้ว เธอเชื่อว่าอาจารย์ปู่จะตื่นขึ้นมาในเร็ววัน ถึงแม้ซื่อไป๋จะบอกว่าวิชาเวทที่อาจารย์ปู่ลงไว้บนตัวเธอถูกเขาใช้พลังทำลายไป อาจทำให้เวลาการตื่นของอาจารย์ปู่ล่าช้าลง แต่ก็คงไม่นานเท่าใดนัก
ดังนั้นการรอคอยความชั่วเหลืออย่างเงียบสงบจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพียงแต่คนบางคนด้านข้างช่างน่ารำคาญเสียจริง!
ตั้งแต่ซื่อไป๋ถูกเธอเปิดโปงว่าไม่ใช่เทพปีศาจแล้ว เขาก็กลายเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ นอกจากมักจะวิ่งเข้ามาถามว่าใครเป็นเทพปีศาจที่แท้จริง ไม่รอให้เธอซักถาม เขาพลางใช้สีหน้ายากแท้หยั่งถึง พลางเล่าเรื่องราวต่างๆ ระหว่างตนเอง อิ้งหลุนและอาจารย์ปู่ออกมาจนหมดเปลือก หยุดยังหยุดไม่อยู่
เขาบอกว่า เทพปีศาจ ราชาเทพ และราชายมโลกล้วนเป็นคำเรียกที่โลกนี้เรียกพวกเขา ตัวจริงของพวกเขาไม่ใช่เจ้าแห่งดินแดนอย่างที่ดินแดนทั้งสามคาดการณ์เอาไว้ พวกเขากำเนิดขึ้นตั้งแต่โลกใบนี้เกิดขึ้น หรือก็คือเทพแห่งการสร้างโลก
ซื่อไป๋เป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง เขากำเนิดจากแสงแรกแห่งโลก ควบคุมกฎเกณฑ์และระเบียบของโลก เป็นตัวแทนแห่งความถูกต้องและมั่นคง ส่วนอิ้งหลุนเป็นตัวแทนแห่งสรรพสิ่ง บนโลกนี้มีสรรพสิ่งจึงต้องมีเขา ดังนั้นเขาควบคุมการเวียนว่ายตายเกิด
ส่วนเยี่ยยวนควบคุมดินแดนมืด เป็นตัวแทนของความวุ่นวายและขุ่นมัว ดังนั้นจึงมีเซินยวน และเกิดเป็นดินแดนปีศาจ
เยี่ยยวนและซื่อไป๋อยู่ขั้วตรงข้ามกัน ดังนั้นต่างฝ่ายจึงต่างไม่ชอบกัน เมื่อพบหน้าจึงเกิดสงคราม ซื่อไป๋หวังว่าดินแดนทั้งหกมีเพียงความสว่าง ไร้ซึ่งสิ่งชั่วร่าย ดังนั้นจึงทุ่มเทในการกำจัดดินแดนปีศาจ ทำให้เกิดดินแดนเซียนและดินแดนเทพ
“ศิษย์ตัวน้อย เจ้าต้องเช็ดดวงตาให้สว่าง คิดให้ดีว่าควรจะยืนอยู่ฝั่งเยี่ยยวนหรือไม่ เข้าเป็นเทพปีศาจ!” ซื่อไป๋พูดไม่หยุด พยายามล้างสมองให้แก่อวิ๋นเจี่ยว
“ตอนนั้นเจ้าสามารถยับยั้งเผ่าปีศาจได้ ข้าว่าเจ้าต้องเป็นผู้มีจิตใจมีคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ เจ้าทนดูโลกใบนี้สลายอยู่ภายในมือของเผ่าปีศาจได้จริงหรือ”
“เยี่ยยวนเป็นตัวแทนแห่งความมืด การมีอยู่ของเขาคือความชั่วร้าย หากมีเขาอยู่ เผ่าปีศาจไม่มีทางถูกกำจัด ต้นตอแห่งความชั่วร้ายนี้ เจ้าจะช่วยเขาจริงหรือ”
“ข้าเป็นราชาเทพ เป็นตัวแทนแห่งความสว่างและความถูกต้อง มีเพียงจิตใจที่สว่างถึงจะน่าไปสู่ความสงบชั่วนิรันดร ข้าเป็นความเที่ยงธรรมแห่งโลกใบนี้”
“ศิษย์ตัวน้อย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกนี้เคยผ่านภัยพิบัติมาสามครา ทั้งสามคราล้วนถูกเผ่าปีศาจพังทลาย สรรพสิ่งแทบจะสูญสิ้น”
“ศิษย์ตัวน้อย! พวกข้าเคยเริ่มต้นโลกนี้ใหม่หลายครั้ง ข้าดูจนกระจ่างหมดแล้ว หากทิ้งเผ่าปีศาจให้อยู่บนโลก จะนำมาซึ่งความพังทลายเท่านั้น หากมีเยี่ยยวนอยู่หนึ่งวัน ความชั่วร้ายในโลกยากที่จะกำจัดได้ ดังนั้นข้าต้องยับยั้งเขาให้ได้ โลกนี้ถึงจะนำมาสู่ความสงบและมั่นคงอย่างยั่งยืน”
“ศิษย์ตัวน้อย! อย่าหมกมุ่นอีกเลย ห่างจากต้นตอแห่งความชั่วร้ายอย่างเยี่ยยวน มุ่งสู่อ้อมกอดแห่งแสงสว่างเถิด!”
“ศิษย์ตัวน้อย! เพื่อความเที่ยงธรรมแห่งโลกใบนี้ เพื่อสรรพสิ่งใต้หล้า เจ้าร่วมมือกับข้าทำให้เยี่ยยวนพ่ายแพ้เถิด ความชั่วร้ายต้องตาย ความถูกต้องคงอยู่!”
อวิ๋นเจี่ยว: “…” เฮ้ย! เขาเป็นอะไรกัน