ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 374 มาเยือนครั้งที่สาม
“พรุ่งนี้ฉันก็มีธุระ!” อย่ามาอีกเลย!
“งั้นฉันรอคุณว่างค่อยมา!” ยายอวี้ฟังคำปฏิเสธของเธอไม่ออกแม้แต่น้อย หลังจากบอกลาเธออย่างอาลัยอาวรณ์แล้ว ก็ถูกลูกชายร่างอ้วนของตนเองลากออกไป
อวิ๋นเจี่ยวไม่เข้าใจความคิดของคนชราแม้แต่น้อย ตอนร้ายสามารถทำให้คนล้มละลายได้ ตอนดีทำท่าทางเหมือนจะเด็ดดวงดาวดวงจันทร์ลงมาให้เธอได้ เรื่องก่อนหน้านี้ช่างเป็นเรื่องโชคร้ายอย่างไม่มีเค้ามาก่อน เธอมองบัตรธนาคารบนโต๊ะน้ำชา ก่อนจะรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา…ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันธนาคาร!
หลังจากกรอกหมายเลขบัตร และรหัสที่เขียนอยู่ด้านหลังเพื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ทันใดนั้นเธอก็ต้องตกตะลึงกับเลขศูนย์ที่ต่อท้ายอย่างยาวเหยียดนั้น หลังจากที่เธอมั่นใจว่าจำนวนตัวเลขนั้นมากกว่าจำนวนเงินที่เธอสูญเสียไปแล้ว
ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนตนเองจะเป็นฝ่ายตกทรัพย์มากกว่า
…
อวิ๋นเจี่ยวพักผ่อนอยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ก่อนจะพบว่าอาการของดวงตาตนเองหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแต่ก่อนที่มองเห็นเพียงเงาเลือนราง จนกระทั่งตอนนี้ที่สามารถเห็นลักษณะของเงาดำนั้นอย่างชัดเจน ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด อีกทั้งสามารถสัมผัสพลังรอบตัวของพวกเขาได้
อวิ๋นเจี่ยวเริ่มสงสัยว่าตนเองไม่ได้มีปัญหาที่ดวงตา แต่มีปัญหาด้านจิตใจแล้ว โดยเฉพาะความรู้วิชาเวทย์ที่ปรากฏขึ้นในหัวเป็นครั้งครา ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสับสน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนเองไม่เคยสัมผัสกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน เหตุใดเมื่อพบเงาดำเหล่านั้น สมองกลับปรากฏข้อมูลที่เกี่ยวข้องขึ้นมาเอง
เดิมทีเธอคิดว่าเป็นสาเหตุมาจากยายอวี้ เพราะตั้งแต่หลังจากที่ช่วยเธอเอาไว้ ตนเองจึงเกิดภาพหลอนเหล่านี้ แต่หลังจากพบกันมาหลายครั้ง เธอถึงได้ค้นพบว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน อีกทั้งยังคิดจะพาเธอหลงเชื่อความคิดงมงายอีกด้วย
ในฐานะอเทวนิยมที่เติบโตภายใต้สายลมฤดูใบไม้ผลิและธงแดงนั้น อวิ๋นเจี่ยวยืนกรานปฏิเสธความคิดงมงายที่อีกฝ่ายถ่ายทอดให้ เธอมั่นใจว่าอุบัติเหตุลิฟต์ในตอนนั้นมาจากอาการที่รุนแรงขึ้นของดวงตา ส่งผลกระทบต่อสมองจนเกิดภาพหลอน ส่วนทำไมยายอวี้ก็เห็นเหมือนกัน อืม…คงเพราะถูกเธอแพร่เชื้อใส่
“เจ้าหนู วันนี้ว่างแล้วใช่หรือไม่ ไปเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันหรือไม่” เสียงหัวเราะของยายอวี้ดังออกมาจากโทรศัพท์ ส่งคำเชิญที่หนึ่งร้อยหนึ่งในตลอดระยะเวลาหลายวันนี้
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ “ไม่ดีกว่า วันนี้วันเสาร์ ด้านนอกคนมากเกินไป ไม่สะดวกออกจากบ้าน”
“ไม่เป็นไร ฉันไปรับ!”
“ไม่ใช่…” ในขณะที่เธอกำลังจะปฏิเสธอีกครั้ง เสียงกระดิ่งประตูก็ดังขึ้น
“เจ้าหนู ฉันมาถึงหน้าบ้านแล้ว เปิดประตูเร็ว!”
เธอเปิดประตูออก พบว่าด้านหน้าประตูคือยายอวี้ที่ยืนยิ้มเฉ่งราวดอกเก๊กฮวย
อวิ๋นเจี่ยว “…” เธอถูกตามตื๊อแล้วใช่ไหม
ไม่รู้ว่ายายอวี้คิดอะไรอยู่ ตั้งแต่เกิดเรื่องลิฟต์ในวันนั้นแล้ว เธอมักจะใช้ข้ออ้างขอบคุณผู้มีพระคุณวิ่งมาหาตนเอง โทรศัพท์ยิ่งไม่ขาดสาย วันหนึ่งโทรสิบกว่าครั้ง ไม่มีอะไรจะพูดก็พูดไปเรื่อยเปื่อย อีกทั้งอายุของอีกฝ่ายทำให้ตนเองไม่กล้าปฏิเสธอีก
เธอสัมผัสได้ถึงความเหงาของคนแก่เป็นครั้งแรก อีกทั้งจากท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่ายแล้ว เหมือนจะไม่ได้เห็นเธอเป็นเพียงรุ่นลูกที่มีความเก่ง แต่เห็นเธอเป็น…เพื่อนสนิท?!
“ฉันไม่เล่นไพ่นกกระจอก!” อวิ๋นเจี่ยวปฏิเสธด้วยสีหน้าระอา
“ไม่เป็นไร!” อวี้เจวี๋ยยังคงยิ้มด้วยสีหน้าสดใส เดินขึ้นหน้าจูงมือของเธอเดินออกจากประตูบ้าน “อย่างนั้นเราไม่เล่นไพ่นกกระจอก เราไปเดินเล่นกันเถอะ?”
“เดี๋ยวก่อน!” อวิ๋นเจี่ยวถูกเธอลากออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า” อย่างน้อยให้เธอเปลี่ยนชุดนอนที่อยู่บนตัวก่อนก็ยังดี
“ไม่เป็นไรๆ ไปซื้อเอา วางใจฉันจ่ายเอง!”
“ไม่…”
เธอยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ก็ถูกเธอลากออกจากบ้านเข้ามานั่งอยู่ในรถยนต์! อีกฝ่ายยังสั่งคนขับรถให้พาไปห้างสรรพสินค้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น
อวิ๋นเจี่ยว “…” เฮ้ย! เธอเหงาขนาดไหนกันเนี่ย
อายุเพียงนี้ ทำไมถึงไม่ไปหาชายแก่ ต้องมาหาเธอด้วย!
“คุณยายอวี้…” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ตัดสินใจพูดด้วยเหตุผลกับเธอดีๆ
“เรื่องครั้งก่อน ฉันรับคำขอโทษของพวกคุณแล้ว การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นหน้าที่ของแพทย์ คุณไม่ได้ติดค้างอะไรฉัน ไม่ต้องรู้สึกผิด ส่งฉันกลับไปเถอะค่ะ!” ดังนั้นอย่ามาหาเธออีกเลย!
สีหน้าของยายอวี้คว่ำลงทันที “ไม่ใช่นะเจ้าหนู ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอเท่านั้น หากเธอไม่ชอบเดินเล่น งั้นพวกเราไปที่อื่น! หรือไม่พวกเราไปเที่ยวต่างประเทศ ยังไงลูกชายฉันก็มีเงิน!”
“…” เธอกำลังเชื้อเชิญตนเองให้ตกทรัพย์ลูกชายด้วยกันหรือ
“เธออยากไปไหน ประเทศเอ หรือประเทศวาย เจ้าหนู หรือไม่พวกเราไปประเทศอาร์ กันเถอะ”
“ไม่ ฉันแค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณเท่านั้น” อวิ๋นเจี่ยวพูดโพล่งออกมา แม้แต่ตัวเธอเองยังผงะกับคำพูดของตนเองไปเล็กน้อย
สีหน้าของยายอวี้ซีดเผือด เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะโกรธเคืองตนเอง แต่นาทีถัดมาเธอกลับเห็นน้ำตารื้นขอบตาของอีกฝ่าย พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าเสียใจ “เจ้าหนู ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอยังโกรธฉันอยู่! ฉันปรับปรุงได้หรือไม่ เธออย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น อันที่จริงตั้งแต่ฉันเห็นเธอครั้งแรก ก็รู้สึกถูกชะตากับเธออย่างมาก อยากรั้งเธอเอาไว้”
อีกฝ่ายยิ่งพูดดวงตาที่มองเธอยิ่งลุกวาว “เจ้าหนู ฉันพูดอย่างไม่ปิดบัง หลายวันนี้ฉันฝันถึงเธอตลอดเวลา มักจะรู้สึกว่าหากไม่ได้เจอเธอ ร่างกายจะกระสับกระส่าย มีความรู้สึกเหมือนชาตินี้ฉันอยู่เพื่อเจอเธอ จริงๆ นะ เธอเชื่อ…เอ๊ะ เธอหลบออกไปไกลขนาดนั้นทำไม”
เธอยังพูดไม่ทันจบ เห็นเพียงอวิ๋นเจี่ยวตัวสั่นเทา ก่อนจะเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสองถอยจนแทบจะชิดกับประตูรถ เธอกวาดตามองอีกฝ่ายขึ้นลง พร้อมพูดด้วยเสียงจริงจัง “คุณยายอวี้คะ ฉันเป็นผู้หญิงแท้ค่ะ!”
เอี๊ยด…คนขับรถที่อยู่ด้านหน้าเหยียบเบรกลงอย่างกะทันหัน! ทำให้เกิดเสียงเบรกยาวดังขึ้น
ยายอวี้หัวกระแทกเข้ากับเบาะของคนขับรถ ทันใดนั้นหน้าผากของเธอเป็นรอยแดง “ตาหลิว ขับรถยังไงเนี่ย”
“ขอ...ขอโทษครับ คุณนาย ขาผมกระตุก!” คนขับรถเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ก่อนจะรีบสตาร์ทรถยนต์ใหม่อีกครั้ง เขารู้สึกว่าตนเองรู้เรื่องใหญ่บางอย่างเข้าแล้ว จะถูกเจ้านายฆ่าปิดปากหรือไม่
ยายอวี้หันมามองอวิ๋นเจี่ยวอีกครั้ง “เจ้าหนู เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น! ฉันหมายถึง…เฮ้อ บอกตามตรง ครั้งนี้ฉันมาหาเธอ เพราะอยากให้เธอช่วยดูเสี่ยวอวี่หลานฉันเสียหน่อย”
“หลาน?” อวิ๋นเจี่ยววางใจ “เขาเป็นอะไร”
“ครั้งก่อนเธอบอกว่า ระยะนี้ที่เจ้าลูกหมาเจอเรื่องซวยเพราะอาจเจอสิ่งสกปรกไม่ใช่หรือ”
“ฉันไม่ได้พูด!” เธอแค่บอกว่าเป็นหวัด “ต้องเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์!”
“…” ยายอวี้ชะงักไป คนเป็นแพทย์ล้วนดื้อรั้นเพียงนี้หรือ