ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 383 ช้าไปหนึ่งก้าว
จางฝานเปิดขวดในมือออก “ฮึ! คนอย่างแกคิดจะข่มขู่ฉัน ย่อมต้องรับการลงโทษ!” สิ้นเสียง พลังสีดำลอยออกมาจาก ในขวดบนมือของเขาพุ่งตรงไปยังจูไข่
ทันใดนั้นภายในบ้านดังไปด้วยเสียงโหยหวน ไม่ถึงชั่วครู่ก็เงียบสงบลง!
…
ตระกูลเหลยขับรถยนต์ไปกันเอง เหลยอวี่ทำหน้าที่ขับรถ เหลยไห่เฉาและหญิงชรานั่งด้านหลัง อวิ๋นเจี่ยวนั่งข้างคน นขับ เธอจ้องมองยันต์ภายในมือ พูดบอกทิศทางเป็นครั้งครา
แต่พวกเขายิ่งเดินทางยิ่งไกล อีกทั้งยังออกนอกเมืองซีมาแล้ว ในที่สุดสองชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็หยุดลง ณ บ้านเก่ าหลังหนึ่งบริเวณชานเมือง
“หมออวิ๋น ที่นี่เหรอ” เหลยอวี่ถาม
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า เธอกวาดตามองบ้านเก่า พลังหยินรอบบ้านนี้หนักเกินไป “พวกคุณตามหลังฉัน พกยันต์ติดตัว วเอาไว้”
เธอกำชับ ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป ทันทีที่เปิดประตูออก พลังหยินด้านในก็พุ่งตรงเข้าหน้า คนทั้งสี่ต่างรู้สึก กหนาวเย็นลงทันที ราวกับกำลังเดินเข้าคลังน้ำแข็ง
สิ่งที่แปลกคือด้านในไม่มีคน มีเพียงแต่โต๊ะบูชาที่วางอยู่ตรงกลาง พร้อมกับยันต์กระจกปากั้วที่วางอยู่เหมือนเก็ บไม่ทัน
“นั่นคืออะไร!” เหลยไห่เฉาตะโกนออกมา เบิกตาโต นิ้วชี้ไปยังมุมกำแพงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
คนที่เหลือต่างหันหน้าไปมอง เห็นเพียงด้านในมีคนนอนอยู่ หากแต่เหลือเพียงโครงกระดูก ถึงแม้บนตัวจะสวมชุดสูท แต่ภายในราวกับถูกดูดกินเลือดเนื้อ เหลือไว้เพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น
“คน...คนตาย!” เหลยอวี่ตัวเย็นเฉียบ ไม่คิดว่าจะเห็นคนตาย เขาก้มหน้าดู พบว่าด้านข้างมีกระเป๋าเงินที่เปิดอ้ าออก ทันทีที่เขามองเห็นชื่อบนบัตรประชาชนที่กระจายอยู่ด้านข้าง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างยิ่งขึ้น “จูไข่! คน. ..คนนี้คือ…เขา?”
ทั้งที่เมื่อวานเขาเพิ่งพบกับจูไข่ ตอนนี้ทำไมดูเหมือนเขาตายไปเป็นเวลานานมากแล้ว
อวิ๋นเจี่ยวมองดูอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าพลังหยินที่อยู่บนตัวของอีกฝ่ายคือพลังหยินของวิญญาณอาฆาต อีกทั้ง ไม่ใช่แค่ตัวเดียว!
“หมออวิ๋น...ทำยังไงดี” เหลยไห่เฉาตื่นตระหนก พวกเขามาคิดบัญชีกับจูไข่ไม่ผิด แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายตายแล้ ว
อวิ๋นเจี่ยวไม่ลังเล เธอหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรออก
“หมออวิ๋น คุณ?” เหลยไห่เฉาผงะ
“แจ้งความ!” อวิ๋นเจี่ยวตอบ พบสถานที่เกิดเหตุย่อมต้องแจ้งความ “สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ…”
พ่อลูกตระกูลเหลย “…”
พูดได้อย่างมีเหตุผล พวกเขาไม่อาจเถียงได้!
เนื่องจากเป็นคดีอาชญากรรม ตำรวจจึงมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่คนจึงถูกพากลับสถานีตำรวจไป ในฐานะที่เป็นผู้พบศพ ทั้ งสี่คนจึงถูกซักถาม
ได้ยินว่าทั้งสี่คนกำลังตามหาคนที่ลงคำสาปอะไรสักอย่างถึงได้ปรากฏตัวในบ้านหลังนั้น ตำรวจทุกคนต่างปากกระตุ ก สายตาที่มองไปยังคนทั้งสี่ผิดปกติขึ้นมาทันที
“คุณตำรวจ ฉันบอกพวกเขาแล้วว่าฉันเป็นหมอ ไม่ใช่หมอดู พวกนั้นเป็นภาพลวง ต้องเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ อย่างมงาย ย แต่พวกเขาไม่เชื่อฉัน!” อวิ๋นเจี่ยวพูด
ทันใดนั้นสายตาของตำรวจจ้องมองไปยังคนทั้งสามของตระกูลเหลย คนมีเงินต่างเล่นแบบนี้?
พ่อลูกตระกูลเหลย “…”
ยายอวี้ “…”
อาจารย์ที่มีความสามารถล้วนไร้ยางอายแบบนี้?
ตำรวจซักถามไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม ก็ไม่พบว่าคนทั้งสี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร แต่พวกเขาปรากฏตัวในที่เ เกิดเหตุเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป แน่นอนว่าเหตุผลที่ไม่วิทยาศาสตร์อย่างเดินตามยันต์ตามรอยมา ตำรวจไม่เชื่ออย่างแน่ นอน
เมื่อเห็นว่าซักถามข้อมูลที่มีประโยชน์ออกมาไม่ได้ ตำรวจอีกคนเดินถือเอกสารฉบับหนึ่งเข้ามา ตบไหล่ของเพื่อน “ด้านบนบอกว่าให้ปล่อยพวกเขาไปได้แล้ว”
“แต่ว่ายังไม่รู้เลยว่าพวกเขาไปที่นั่นทำไม!” ตำรวจที่สอบปากคำผงะ
“คดีนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมือแล้ว” ตำรวจที่เดินเข้ามาพูด “ทางนั้นบอกว่าไม่เกี่ยวกับพวกเขา จึงแจ้งให้ ปล่อยคน”
ตำรวจที่สอบปากคำจึงพยักหน้า จากนั้นให้ทั้งสี่คนเซ็นชื่อลงบนรายงานให้ปากคำที่ ‘เหลวไหล’ อย่างเห็นได้ชัด ก่อน จะปล่อยกลับไป
ส่วนเรื่องการตายของจูไข่ ทั้งสี่คนล้วนพอเดาได้ว่าเป็นฝีมือของคนที่เปลี่ยนชะตาให้เขา อีกทั้งอีกฝ่ายอาจ จมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา แต่เสียดายที่ตำรวจไม่เชื่อ
ทั้งสี่คนจึงได้เพียงกำยันต์ป้องกันในมือแน่น เดินทางออกจากสถานีตำรวจ
เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว แต่วันรุ่งขึ้น ชายชราที่สวมชุดนักพรต เกล้ามวยผมขึ้น อีกทั้งยังไว้หนวดเ เคราหย่อมเล็กมาเคาะประตูบ้านของอวิ๋นเจี่ยว
ชายชราหัวเราะ ก่อนจะคารวะให้เธอ “คุณ…”
“ให้!” อวิ๋นเจี่ยวหยิบธนบัตรใบสิบหยวนส่งไปให้อีกฝ่าย
สีหน้าของชายชราผงะไปทันที สักพักเขาถึงตั้งสติกลับมาได้ “คุณเข้าใจผิด ผมไม่ได้มาขอเงิน?!”
“คุณจะเอาวีแชทหรือว่าอาลีเพย์?” อวิ๋นเจี่ยวถาม “แต่บอกไว้ก่อนฉันมีแค่สิบหยวน ไม่มีมากกว่านี้แล้ว!”
“…” ชายชราผงะไปอีกครั้ง ปากของเขากระตุกขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหยิบสมุดเล่มแดงออกมาจากกระเป๋ า
อวิ๋นเจี่ยวรีบเสริม “มีบัตรคนแก่ก็ให้แค่สิบหยวน!”
ชายชรามือสั่น เกือบจะห้ามเล่มแดงที่กำลังจะกระแทกหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ไม่อยู่ เขาเปิดบัตรในมือออก “อวิ๋นเจี่ย ยวใช่ไหม! ผมเป็นคนของสำนักงานจัดการพิเศษ สำนักงานของผมเป็นหน่วยงานตรงของเมืองซี มาที่นี่เพื่อตรวจสอบคดีที่ เกิดขึ้นที่ชานเมืองเมื่อวาน ผมชื่อหลินเย่ว์ นี่คือบัตรของผม!”
“อ่อ...” อวิ๋นเจี่ยวรับบัตรในมือของเขามา ด้านบนมีตราราชการของเมืองซี ประทับอยู่ เธอกวาดตามองเขาขึ้นลง “ท ทำไมไม่ใส่ชุดทำงาน?”
“…” นี่คือชุดทำงานของเขา
“เข้ามาเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวปล่อยคนเข้ามา ก่อนจะถามขึ้นอย่างสงสัย “หน่วยงานพวกคุณ อายุเกษียณอยู่ที่เท่าไหร่” ทำไ ไมอายุมากขนาดนี้ยังต้องออกสืบคดี หรือว่าเขาแก่กว่าวัย?
“…” ฉึบ! หลินเย่ว์รู้สึกเหมือนถูกมีดปักอกอีกครั้ง
“เอ๊ะ เจ้าหนู! มีแขกมาหรือ” ยายอวี้ที่กำลังดูละครเกาหลีหันหน้ามา กวาดตามองหลินเย่ว์อย่างฉงน
“เธอคือ…” หลินเย่ว์มองไปยังยายอวี้ ข้อมูลระบุว่าอวิ๋นเจี่ยวเป็นเด็กกำพร้า อยู่ตัวคนเดียว หญิงชราคนนี้มา าจากไหน
“มาตกทรัพย์ ไม่ต้องสนใจ!” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย
“…” ตกทรัพย์ตกถึงบ้าน?
“เชิญนั่ง!” อวิ๋นเจี่ยวรินน้ำชาให้เขา พลางชี้ไปที่โซฟา “เมื่อวานพวกเราเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดกับตำรวจแล้ว พวกคุณ ต้องการรู้อะไรอีก”