ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 385 ลอบทำร้ายยามค่ำคืน
สีหน้าของหลินเย่ว์มืดมนลงไปทันที อวิ๋นเจี่ยวนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ เมื่อกี้คุณบอกว่าคำสาปบนตัวของเห ลยอวี่ ตอนแรกจางฝานตั้งใจลงให้จูไข่ จากนั้นเคลื่อนย้ายมาบนตัวของเขา แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่!”
“อะไรนะ” หลินเย่ว์ผงะ ไม่ใช่จางฝานแล้วจะเป็นใคร
อวิ๋นเจี่ยวค้นภาพออกมาจากโทรศัพท์มือถือ ด้านบนเป็นภาพของเถาวัลย์ใบหนึ่ง มันคือลักษณะของคำสาปด้านหลังของเหล ลยอวี่ “นี่คือคำสาปอู่เชวีย!”
“คำสาปอู่เชวีย? เทียนฉานอู่เชวียเหรอ?” หลินเย่ว์ยังไม่ทันถาม ยายอวี้ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “คำสาปนี้สามารถทำให้พลังชีวิตบนตัวของคนอื่นปั่นป่วน ส่งผลให้มันไม่อาจทำงานได้ตามป ปกติ จนกระทั่งพลังชีวิตสูญสิ้น ดูจากภายนอกคือการขาดแข้งขาดขา” นี่คือสาเหตุที่เหลยอวี่ล้มขาหักอยู่ตลอดเวล ลา เพียงแต่เขาโชคดี ยายอวี้ที่ดูแลเขามีคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ คอยขับไล่ให้เขาเป็นครั้งครา ดังนั้นขาของเข ขาจึงหายดีแล้วหักใหม่ “คำสาปนี้พิเศษมาก เพราะสิ่งที่มันมีผลด้วยคือพลังชีวิต ดังนั้นย่อมต้องใช้พลังชีวิตลง คำสาป ซึ่งหมายความว่า…คนที่ลงคำสาปตายแล้ว!”
โดยเฉพาะตอนที่เธอเห็นพลังอาฆาตอันรุนแรงจากบนคำสาปนั้น มันเป็นพลังที่คนตายอย่างอนาถเท่านั้นถึงจะหลงเหลือเอา าไว้
“หากเป็นเช่นนี้…” หลินเย่ว์ตั้งสติได้ ก่อนจะถาม “ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าจางฝานเป็นคนต้องคำสาปนั้นเอง แต่ เคลื่อนย้ายไปบนตัวของจูไข่ จากนั้นใช้วิธีการเปลี่ยนชะตาช่วยจูไข่เคลื่อนย้ายไปบนตัวของ
เหลยอวี่?”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
คิ้วของหลินเย่ว์ขมวดมุ่น ราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ “อาจารย์อวิ๋น รูปนี้ส่งให้ผมได้ไหม”
“ย่อมได้!” อวิ๋นเจี่ยวส่งรูปไปให้อีกฝ่ายทันที
“ผมจะกลับไปหาข้อมูลของคำสาปนี้ เมื่อได้ข่าวจะมาแจ้งพวกคุณอีกที” หลินเย่ว์ไม่ได้ถามต่อ เพียงแต่ทิ้งช่องทางการ ติดต่อเอาไว้ จากนั้นออกจากประตูไปอย่างเร่งรีบ
ยายอวี้มองหลินเย่ว์ที่ท่าทางรีบร้อน ก่อนจะมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอย่างสงสัย “เจ้าหนู เธอว่าคำสาปนี้ใครเป็นคน ลง”
“ไม่รู้” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว เพียงแต่คนที่ลงคำสาปไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งเธอรู้สึกได้ว่าคำสาปนี้ไม่ได้มีเพียงห หนึ่งคน แต่จากท่าทางร้อนใจของหลินเย่ว์ เธอคาดว่าอีกฝ่ายคงมีเบาะแสแล้ว เรื่องต่อจากนี้พวกเธอคงไม่อาจแทรกแซ ซงได้
แต่ยายอวี้…
เธอมองไปยังคนที่กำลังกินป๊อปคอร์นอยู่ด้านข้าง “ทำไมคุณยังไม่ไปอีก” คิดว่าเป็นบ้านของตัวเองจริงๆ ?
ยายอวี้หัวเราะ ก่อนจะพูดขึ้น “แหม เจ้าหนู พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว เธอยังช่วยฉันไว้หลายครั้ง ถือว่าร่วมทุ กข์ร่วมสุขกันมาแล้ว เธอจะใจดำไล่ยายแก่อย่างฉันไปได้จริงเหรอ”
“ใจดำ!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าอย่างจริงจัง!
รอยยิ้มบนใบหน้ายายอวี้ชะงักไป ดวงตาของเธอกลอกไปมา ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา ลูบคลำขาของตนเองพร้อมร้องโอดครวญ “โอย ย ขาของฉัน ทำไมถึงเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว โอย เดินไม่ไหว เดินไม่ไหวแล้ว!”
อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าเรียบเฉย พูดขึ้น “ปลอมมาก!”
“จริงนะเจ้าหนู ขาฉันเจ็บจริง!” ยายอวี้ร้องเสียงดังมากขึ้น สีหน้าปลอมแค่ก็ไหนปลอมแค่นั้น
อีกทั้งเธอยังไม่อาจให้คนมาลากอีกฝ่ายออกไปได้ เธอถอนหายใจยาว กวาดตามองหญิงชราพลันพูดขึ้น “ฉันว่าคุณมีลู กมีหลาน จะมาอยู่บ้านฉันทำไมกัน” อีกทั้งบ้านเธอยังมีฐานะขนาดนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องมาขดอยู่ที่นี่
ยายอวี้ผงะไป สีหน้าเต็มไปด้วยความฉงน ราวกับกำลังตั้งใจครุ่นคิดคำถามนี้ สักพักถึงได้พูดขึ้น “ฉัน…ก็ไม่รู้ ก็แค่…ก็แค่รู้สึกว่า ฉันต้องจับตาดูเธอเอาไว้! จากนั้น…จากนั้น…” จากนั้นต้องทำอะไร เธอก็ไม่รู้
ตัวเธอเองก็บอกเหตุผลไม่ได้ ตั้งแต่เจอเจ้าหนู เธอก็มีความรู้สึกเหมือนได้รับภารกิจบางอย่าง ราวกับว่าอยู่ข้างต ตัวเธอ ตนเองถึงจะสบายใจ
“เจ้าหนู ฉันรู้สึกว่าฉันรู้จักเธอมาเป็นเวลานานมาก แต่ฉันก็นึกไม่ออก...” คิ้วของเธอขมวด ราวกับประสบปัญหากว วนใจอะไรบางอย่าง “ฉันเหมือนว่า…ลืมบางอย่างที่สำคัญอย่างมากไป”
“คุณคงไม่…” อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเธอขึ้นลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เป็นโรคอัลไซเมอร์ใช่ไหม”
“ฮะ? อัลอะไรนะ” ยายอวี้ผงะ
“หรือที่เรียกว่า…สมองเสื่อม!”
“…”
เธอถึงสมองเสื่อม?! บ้านเธอสมองเสื่อมทั้งบ้าน!
…
อวิ๋นเจี่ยวฝันอีกแล้ว คนที่มองไม่เห็นหน้าในฝันยังคงใช้ดวงตาเรียบเฉยมองมายังเธอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความน้อ อยใจ ทำให้เธออยากจะเดินขึ้นหน้าไปกอดเขาเอาไว้ ในขณะที่เธอกำลังจะเดินขึ้นหน้า บริเวณรอบด้านก็ปรากฏหมอกขาวขึ้น นมา อีกทั้งยังมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างตรงหน้าก็เลือนรางลงไปเรื่อยๆ
ราวกับเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังหนาวเย็นขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังเย็นยะเยือกกลุ่มหนึ่งกำลังมุด เข้าไปในกระดูก ทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง
จากนั้น…
“ฮัดชิ่ว!”
เธอจามออกมาเสียงดัง ทันทีที่ลืมตาเธอก็เห็นผีสาวหน้าตาอัปลักษณ์ในชุดแดงแนบสนิทอยู่บนเพดาน ผีสาวกำลังจ้องม มองอวิ๋นเจี่ยวด้วยดวงตาแดงก่ำ ภายในดวงตามีเลือดหลั่งไหลออกมา เลือดที่หลั่งไหลออกมาหยดลงบนผ้าห่มของเธอ
“…” อวิ๋นเจี่ยวมองผ้าห่มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ผีสาวสัมผัสได้ว่าอวิ๋นเจี่ยวตื่นขึ้น เธออ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดออก เผยให้เห็นรอยยิ้มน่าขนลุก
พลังหยินรอบด้านแผ่ขยายราวกับเถาวัลย์ เล็บบนมือซีดนั้นยืดยาว เธอคำรามเสียงแปลกประหลาดก่อนจะพุ่งตรงลงมา
นาทีถัดมา ได้ยินเพียงเสียงดังปัง ผีสาวที่กำลังจะพุ่งตรงเข้ามาหาอวิ๋นเจี่ยวกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับตู้เสื้อผ้า าทันที ทันใดนั้นตู้เสื้อผ้าถูกกระแทกจนพัง พลังหยินบนตัวของผีสาวสิ้นสลาย แม้แต่ร่างวิญญาณของเธอก็เลือนรางล ลงไปไม่น้อย
อวิ๋นเจี่ยวดึงผ้าห่มบนตัวออกเดินเข้าใกล้ ผีสาวตะเกียกตะกายขึ้นมาจากภายในตู้เสื้อผ้า สีหน้าฉงนราวกับไม่รู้ว่า าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเธอเห็นอวิ๋นเจี่ยวที่เดินเข้ามา ดวงตาของเธอแดงก่ำก่อนจะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด เพียงแต่ยื่นมือจับหัวของผีสาวเอาไว้พร้อมท่องคาถา จากนั้นโยนอีกฝ่ายกระแทก เข้ากับกำแพงอีกครั้ง สลายพลังหยินเฮือกสุดท้ายของผีสาว ทันใดนั้นผีสาวทำได้เพียงสะบัดแขนที่อ่อนแรงไปมาราวกับห หมดกำลัง
“เจ้าหนู เกิดอะไรขึ้น” ยายอวี้ที่ตื่นขึ้นพุ่งเข้ามา เธอผลักประตูออกไปอย่างแรง “เธอไม่เป็น…เฮ้ย!”
ฝีเท้าของเธอชะงักลง ก่อนจะหดกลับไปทันที เธอมองสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทราบแน่ชัดกำลังถูกอวิ๋นเจี่ยวกดเอาไว้ “นี่… .นี่ นี่…นี่ผีอะไร” น่ากลัวเสียจริง ทำให้เธออยากจะวิ่งหนีไปทันที แต่เมื่อนึกถึงอวิ๋นเจี่ยวยังอยู่ เธอก็ไม่ กล้าทิ้งอีกฝ่ายเอาไว้คนเดียว