ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 388 ป่วยกะทันหัน
โดยรวมแล้ว ปัจจุบันนี้นอกจากสำนักงานจัดการพิเศษแล้ว คนที่มีความสามารถจริงๆ ในลัทธิเต๋ามีจำนวนน้อย มีเพียงตระกูลเก่าแก่สืบทอดต่อไป อีกทั้งผู้ฝึกฝนวิชาเวทย์มีเงื่อนไขที่สู งมาก นอกจากตระกูลเก่าแก่ที่จะมีลูกหลานมีพรสวรรค์คนสองคนแล้ว คนธรรมดาไม่อาจฝึกฝนได้
อีกทั้งตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันคือ ตระกูลเผยเมืองเอ และตระกูลจางเมืองดี จางฝานมาจากตระกูลจาง แต่เนื่องจากทำผิดจึงถูกตัดชื่อออกจากตระกูล หลายปีนี้ตระกูลจางไล่ ตามจับเขาอยู่ตลอดเวลา
ส่วนสำนักเล็กอื่นๆ นั้นถึงจะมีคนที่มีความสามารถ แต่ก็มีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักต้มตุ๋น
ถึงแม้สำนักงานจัดการพิเศษจะเป็นองค์กรทางการ แต่หากเผชิญเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจจัดการได้ สุดท้ายก็ต้องเชิญคนจากทั้งสองตระกูลมาจัดการ
ส่วนคนที่มีความสามารถสูงสุดของทั้งสองตระกูลก็คือนายท่านของทั้งสองตระกูล เพียงแต่สองตระกูลนี้ไม่ชอบเป็นที่สนใจ โดยเฉพาะนายท่านของทั้งสอง พวกเขาไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานมา ากแล้ว มีคนจำนวนน้อยที่รู้จักพวกเขา
หลินเย่ว์ทำงานในสำนักงานพิเศษมาเป็นเวลานาน เคยได้ยินชื่อเสียงของนายท่านตระกูลเผย แต่ไม่เคยเจอตัวจริง ดังนั้นระหว่างทางเขาจึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาได้รับบุญจากอวิ๋นเจี่ ยวถึงเข้าไปในตระกูลเผยได้ มิฉะนั้นหัวหน้าสำนักงานเล็กในเมืองซี อย่างเขาจะพบกับบุคคลในตำนานได้อย่างไร ดูแล้วความสามารถของอวิ๋นเจี่ยวจะมีมากกว่าที่เขาจินตนาการ ดังนั้นแม ม้แต่ตระกูลเผยยังให้ความสำคัญถึงเพียงนี้
“อีกไกลแค่ไหน! กระดูกฉันจะหักอยู่แล้ว!” ยายอวี้ทุบเอาตัวเอง พลางบ่นเป็นรอบที่หนึ่งร้อยแปดของวัน หลังจากลงเครื่องบินมา พวกเขานั่งรถมาสองชั่วโมงแล้ว
หลินเย่ว์ปากกระตุก มองคนที่ล้มตัวลงนอนอยู่ด้านหลัง ทำได้เพียงถอนหายใจพลันตอบ “ใกล้แล้วๆ พวกเราเข้ามาในเขตชมวิวแล้ว อีกสักพักก็คงถึง ทางนี้ยังไม่มีการพัฒนา ทางภูเขา ก็จะเดินทางยากหน่อย” พูดจบเขาก็หันไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่ทำหน้าเรียบเฉย “คือ… อาจารย์อวิ๋น”
“หืม” อวิ๋นเจี่ยวหันหน้ามา
เขาอดถามไม่ได้ “ผมถามหน่อยได้ไหม เมืองเอ ไกลขนาดนี้ อีกทั้งพวกเราจะกลับไปทันที ทำไมคุณต้องพาพี่…อวี้มาด้วย”
“เอ๊ะ?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ หันไปมองยายอวี้ทีหนึ่ง เธอเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน นั่นสิ ยายอวี้ไม่ใช่คนในครอบครัวของเธอ เวลาปกติมาขอกินข้าวด้วยก็แล้วไป ทำไมครั้งนี้เธอต้องพาอ อีกฝ่ายมาด้วย
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดถึงคำถามนี้มาก่อน แต่หลังจากตั้งสติได้คนก็มีอยู่ข้างตัวแล้ว หรือว่าเธอจะถูกตื๊อจนเคยชินไปแล้ว จึงพาเธอมาอย่างไม่รู้ตัว
เธอฉงนตอบคำถามตนเองไม่ได้ ทำได้เพียงถามกลับ “ไม่ได้หรือ” ตอนนี้อยู่ในภูเขาแล้ว เธอจะไล่อีกฝ่ายกลับไปอย่างไร!
ยายอวี้ระเบิดขึ้นมาทันที เธอชี้ไปยังหลินเย่ว์ “ตาแก่ นายหมายความว่ายังไง ฉันเป็นยังไง ทำไมฉันจะมาไม่ได้ นายมีปัญหากับยายแก่อย่างฉันหรือไง”
“ไม่ๆ ไม่ใช่ครับ” หลินเย่ว์รีบอธิบาย “ผมแค่กลัวพี่อวี้ลำบากเกินไป”
“ถุย!” ยายอวี้ถลึงตาใส่เขา “ตาแก่ชั่วร้ายอย่างนายลักพาตัวเจ้าหนูของฉันมาในป่าลึกแบบนี้ ใครจะรู้ว่าพวกนายคิดจะทำอะไร ยายแก่อย่างฉันตามมาดูสถานการณ์ไม่ได้เหรอ นายอยาก กให้ฉันไปเพราะว่ามีแผนการชั่วร้ายอะไรใช่หรือ”
“ที่ไหนกัน!” หลินเย่ว์ถูกเธอต่อว่าจนเหงื่อตก ทำได้เพียงเปลี่ยนประเด็น เขาชี้ไปด้านหน้า “ดูเร็ว พวกเราใกล้ถึงแล้ว”
ทั้งสองคนผงะ ก่อนจะหันไปมองด้านหน้า พวกเธอพบว่ารถยนต์เคลื่อนตัวราบรื่นขึ้น ด้านล่างไม่ใช่ทางเขาที่เดินทางยาก หากแต่เป็นถนนลาดยางที่ราบเรียบ รถยนต์กำลังเคลื่อนที่ไปด้านห หน้าอย่างเชื่องช้า
เห็นเพียงแต่ไม่ไกลนักปรากฏบ้านที่มีลักษณะคล้ายปราสาทในยุคกลางหลังหนึ่ง บ้านมีขนาดใหญ่มาก พื้นที่เกือบจะเท่าห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กถึงกลาง บ้านหลังนั้นตั้งอยู่บริเวณเชิงเข ขา ด้านหน้ามีพื้นหญ้าขนาดใหญ่ ด้านข้างมีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่าน พิงเขาเคียงน้ำ ล้อมรอบไปด้วยภูเขา เป็นสถานที่ล้ำค่าอย่างหาได้ยาก
รถยนต์เคลื่อนที่ไปด้านหน้า ผ่านประตูหลายชั้นถึงจะเดินทางมาถึงขอบเขตของบ้านหลังนั้น ชายหนุ่มที่สวมชุดสมัยถังยืนรออยู่หน้าประตู ดูเหมือนตั้งใจออกมารอรับพวกเขา
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกได้ว่าตั้งแต่เหยียบย่ำเข้ามาในพื้นหญ้านี้ อากาศบริเวณรอบด้านราวกับสดชื่นมากกว่าเดิม ร่างกายของเธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะบริเวณรอบด้า านยังหนาแน่นไปด้วย…พลังลมปราณ?!
เธอยังไม่ทันได้ครุ่นคิด ด้านข้างมีเสียงคนล้มตึงลง ยายอวี้ที่ยังกระโดดโลดเต้นอยู่เมื่อครู่ล้มลงไปอย่างไร้วี่แวว อีกทั้งยังกระแทกเข้ากับประตูรถที่ยังไม่ทันได้ปิดล ลง ในขณะที่เธอกำลังจะล้มลงไป
อวิ๋นเจี่ยวตกใจ ก่อนจะรีบดึงมือของเธอเอาไว้ “ชายแก่ เป็นอะไรไป”
สีหน้าของยายอวี้ซีดลงอย่างกะทันหัน ราวกับหายใจไม่ออก มือหนึ่งถูกอวิ๋นเจี่ยวดึงไว้ อีกมือกอบกุมเข้าที่หน้าอก “เจ้า…เจ้าหนู หน้าอก…”
เสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ อวิ๋นเจี่ยวประคองเธอนั่งลง มือจับไปยังเส้นชีพจรของเธอ พบว่าพลังภายในร่างกายของเธอปั่นป่วนอย่างมาก ราวกับมีพลังบางอย่างวิ่งอยู่ภายในร่างกาย แม ม้แต่แสงทองแห่งคุณงามความดีรอบตัวก็เลือนรางลงราวกับจะสลายไป
อวิ๋นเจี่ยวตกใจ ทำไมเป็นแบบนี้
“พี่อวี้ อย่าหลอกพวกเรานะ!” หลินเย่ว์เองก็ตกใจ เขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหารถพยาบาล แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอยู่ในภูเขา รถพยาบาลคงมาไม่ทัน ทำได้เพียงบอกชายหนุ่มที่ออ อกมาต้อนรับ “เร็ว เรียกหมอ! ผมคิดว่าเธอคงโรคหัวใจกำเริบ”
ชายหนุ่มในชุดสมัยถังเองก็ตกใจ รีบพยักหน้า “ครับ! หมอประจำตระกูลอยู่ที่นี่ ผมจะไปเรียกเขามา ย้ายคนเข้าไปในบ้านก่อน!”
“ได้!” หลินเย่ว์พยักหน้า ทั้งสองคนกำลังจะเดินขึ้นมาย้ายคนเข้าไป
อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าดำลง พูดเสียงเย็น “อย่าจับเธอ!”
ทั้งสองคนถูกน้ำเสียงของเธอทำให้ตกใจ หลินเย่ว์มองเธอด้วยความสงสัย “อาจารย์อวิ๋น...”
“ฉันเป็นหมอ!” อวิ๋นเจี่ยวตอบ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เธอพยุงยายอวี้ให้นอนลง ก่อนจะหยิบเข็มสีทองออกมาลงมือฝังเข็ม
เธอสกัดพลังที่พุ่งชนอยู่ภายในร่างกายของอีกฝ่าย บังคับให้มันถอยไปอยู่ในตำแหน่งหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ สกัดพลังที่หลั่งไหลออกมาของเธอ สักพักถึงได้หยุดลง
สีหน้าของยายอวี้ดีขึ้นเล็กน้อย ลมหายใจก็เสถียรมากขึ้น เพียงแต่แสงสีทองรอบตัวของเธอจางลงไปไม่น้อย อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลกประหลาด ตามหลักแล้วคุณงามความดีจะไม่ เปลี่ยนแปลง เว้นเสียแต่ทำเรื่องชั่วช้าอย่างมหันต์ แต่ยายอวี้ยังไม่ได้ทำอะไร ทำไมถึงลดน้อยลง