ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 394 หมู่บ้านร้าง
อวิ๋นเจี่ยวมองเขาทีหนึ่ง จากที่นายท่านเผยเรียกเขา เธอพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคือนายท่านตระกูลจางที่หลินเย่ว์เคยพูดถึง…จางเฉิงหยง คนอย่างนายท่านเผยและนายท่านตระกูล จางล้วนมา ท่าทางพวกเขาจะให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้อย่างมาก
เธอเงยหน้ามองคนอื่นในกลุ่ม เมื่อกี้ไม่ทันสังเกต เวลานี้กวาดตาดูถึงพบว่าพวกเขาแต่ละคนนอกจากมีพลังลมปราณบนตัวแล้ว อายุของแต่ละคนก็ไม่น้อย ลักษณะราวห้าหกสิบปี คนที่อายุ น้อยที่สุดก็มีสี่สิบกว่า นอกจากนี้ยังมียายอวี้ที่อยู่ข้างตัวเธออีกคน
เดินอยู่ตรงกลางมีความรู้สึกเหมือนตนเองเป็นผู้นำทัวร์คนชราอย่างประหลาด
“เวลาไม่เช้าแล้ว ควรออกเดินทางแล้ว” นายท่านเผยดูนาฬิกา ไม่ได้รีรอ เขานำทุกคนเดินออกไปด้านนอก ด้านนอกมีบอดี้การ์ดในชุดสีดำหลายคน เมื่อเห็นทุกคนเดินออกมา พวกเขาใช้วิทยุ พูดสื่อสารอะไรบางอย่าง จากนั้นรถบัสคันใหญ่ก็มาจอดอยู่ตรงหน้าทุกคน
อวิ๋นเจี่ยว “…” มีความรู้สึกเหมือนผู้นำทัวร์มากกว่าเดิมเสียอีก
เมื่อขึ้นรถมา นายท่านเผยถึงแนะนำคนในกลุ่มให้เธอรู้จักทีละคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของตระกูลจางและตระกูลเผย นอกจากนี้ยังมีบางส่วนเป็นลูกหลานของคนที่มีส่วนร่วมในการกำจัดป ปีศาจงู เห็นได้ชัดว่าคำสาปนั้นส่งผลกระทบต่อพวกเขาเช่นเดียวกัน มีคนเคยสืบทอดคำสาปนั้นไม่มากก็น้อย
เมื่อได้ยินว่านายท่านเผยมีวิธีจัดการคำสาปนั้น พวกเขาถึงได้รวมตัวกันที่นี่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าคำสาปนั้นจะตกอยู่บนตัวของตนเองเมื่อใด
นายท่านเผยบอกว่า เดินทีมีคนจำนวนมากกว่านี้ แต่หมู่บ้านเซียนจี้อันตรายเกินไป ดังนั้นเขาจึงคัดเลือกคนที่มีฝีมือสูงเข้าไปด้วยกัน
หลังจากอวิ๋นเจี่ยวเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่สถานที่ผนึกปีศาจงูห่างไกลอย่างมาก พวกเขานั่งรถกว่าสามชั่วโมงถึงจะหยุดลง แต่ก็ยังไม่ถึงจุดหมาย เพราะว่าด้านหน้า รถไม่อาจผ่านได้
ทุกคนจึงทำได้เพียงลงจากรถเดินเท้าเข้าไป บอดี้การ์ดทั้งหลายรีบเดินนำเปิดทางอยู่ด้านหน้า สถานที่แห่งนี้เหมือนไม่มีคนอยู่เป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นถนนถูกหญ้าปกคลุมเอาไว้ พวก กเขาทำได้เพียงหาหนทางที่สามารถเดินได้อย่างระมัดระวัง พวกเขาใช้เวลาเดินอีกหนึ่งชั่วโมง
ตามหลักแล้วควรจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก แต่เรื่องที่น่าประหลาดคือ อวิ๋นเจี่ยวไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย ราวกับร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างกะทันหัน หากแต่ยายอวี้ที่อยู่ด้านข้างห หอบหายใจอย่างหนัก คนทั้งคนแทบจะล้มทับเธออยู่แล้ว
เธอครุ่นคิดก่อนจะหยิบยันต์ออกมาหนึ่งใบแปะลงบนหลังเธอ นาทีถัดมายายอวี้ถึงกระปรี้กระเปร่าขึ้น ลุกขึ้นยืนได้ทันที “เอ๊ะ? ฉันรู้สึกมีแรงแล้ว”
อวิ๋นเจี่ยวปล่อยมือออก หันหน้ากลับไปมองคนอื่น พบว่าแต่ละคนล้วนกระปรี้กระเปร่า ไร้ซึ่งอาการหมดแรงของคนชรา อาจเป็นเพราะฝึกฝนทางเต๋า ทำให้พวกเขามีกำลังกายที่ดีถึงแม้จะอายุม มาก
“ด้านหน้าก็ถึงแล้ว” นายท่านเผยที่นำทางหยุดลง เขามองเข็มทิศในมือของตนเอง ชี้ไปด้านหน้า “เลี้ยวโค้งนี้ไปก็คือหมู่บ้านเซียนจี้แล้ว ที่นั่นพลังหยินหนาแน่น ทุกคนระวัง!”
ทันทีที่สิ้นเสียง คนทั้งหลายที่ทำหน้าสบายเมื่อกี้จริงจังขึ้นมาทันที พวกเขาต่างหยิบดาบไม้ท้อ และกระจกปากั้วออกมา อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือเข้าไปล้วงยันต์ป้องกันตามความเคยชิน แต ต่ดูเหมือนทุกคนไม่มีท่าทีติดยันต์ เธอจึงยัดมันลงไปอีกครั้ง
ขบวนคนเดินไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ทันทีที่เลี้ยวโค้งไป พวกเขาเห็นพื้นดินราบเรียบขนาดกว้าง รอบด้านล้อมไปด้วยภูเขา ตรงกลางมีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่าน เป็นสถานที่ทิวทัศน์สวยงามแ แห่งหนึ่ง เพียงแต่สถานที่แห่งนี้ไม่มีคนอยู่มาเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงมีวัชพืชจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถเห็นซากปรักหักพักที่หลงเหลืออยู่
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ทุกคนเหยียบย่ำเข้ามา อุณหภูมิรอบด้านลดลงอย่างกะทันหันราวกับเปิดเครื่องปรับอากาศ ไอเย็นมุดเข้ากระดุกของทุกคน ทำให้ทุกคนที่รู้สึกอบอ้าวเมื่อกี้ ต่างสั่นเทาด้วยความหนาว
“พลังหยินรุนแรงมาก!” มีคนเตือนขึ้น “ทุกคนระวัง ผีร้ายที่นี่คงไม่ได้มีเพียงตัวสองตัว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนในเหตุการณ์ต่างระวังตัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งรวมตัวเข้ามาตรงกลาง ล้อมรอบเป็นวงกลม เพื่อป้องกันการลอบโจมตีจากทุกทิศอย่างกะทันหัน
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ขยับ แตกต่างจากคนอื่น ในสายตาของเธอ หมู่บ้านร้างแห่งนี้ถึงจะมีพลังหยิน แต่ไม่ได้หนาแน่นมาก หากแต่ป่าด้านหลังหมู่บ้านมีความแปลกประหลาด บริเวณแห่งนั้นพลัง งหยินพุ่งทะยาน ถึงแม้จะเป็นเวลากลางวัน แต่พลังสีดำนั้นปกคลุมไปทั่วผืนป่า ปิดบังแสงแดดเอาไว้จนมิด ทำให้หมู่บ้านตกอยู่ภายในร่มเงา ดังนั้นจึงมีอุณหภูมิที่ต่ำ
“ทุกคนอย่าตระหนก ที่นี่เป็นสถานที่รวมพลังหยิน ดึงดูดผีร้ายใกล้เคียงก็ปกติ” นายท่านเผยพูด “แต่ว่าตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ถึงแม้จะเป็นวิญญาณผีร้ายก็ไม่มีทางออกมาในเว วลานี้ พวกเราหาสถานที่พักผ่อนเตรียมตัว เมื่อฟ้ามืดค่อยมาจัดการพวกมัน”
ทุกคนได้ยินจึงผ่อนคลายลง พวกเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้านต่อ ระหว่างทางล้วนเป็นบ้านเรือนที่พังทลายและเครื่องมือการเกษตรที่ถูกทิ้งเอาไว้ ด้านบนเต็มไปด้วยตะไคร่ หมู่บ้านแห่งนี้ไ ไม่มีคนอยู่มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีพลังของมนุษย์ก็เป็นเรื่องปกติ
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองไป จนกระทั่งเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งที่มีขนาดเล็กและคับแคบ บ้านหลังนั้นอยู่ข้างทาง แต่ความสูงยังไม่ถึงระดับเอว ไม่เหมือนเอาไว้ให้คนอยู่ เมื่อเทียบกับบ้ านที่พังทลายลงตามธรรมชาติเหล่านั้น บ้านเล็กหลังนี้ด้านบนมีจอบปักอยู่ ราวกับตั้งใจรื้อถอนทิ้ง พังทลายไปครึ่งเดียว
“นี่เอาไว้ทำอะไร” เธอถามด้วยความสงสัย บ้านหลังเล็กขนาดนี้ ไม่เหมือนให้คนอยู่
นายท่านเผยชะงัก มองตามทิศทางที่เธอชี้ ทันใดนั้นนิ่งงันไป สักพักถึงได้เค้นรอยยิ้มออกมา “เฮอะ ๆ…คงเป็นความเชื่อของคนที่นี่ บูชาอะไรบางอย่าง!”
“อ่อ” ที่แท้ก็เป็นศาล เธอครุ่นคิด เหมือนว่าหมู่บ้านชนบทมักจะสร้างบ้านหลังเล็กริมทางแบบนี้เอาไว้บูชาเทพเจ้าพื้นดิน ดังนั้นเธอจึงเดินเข้าไปภายในหมู่บ้านต่ออย่างไม่คิดอะไร ร เธอสำรวจตรวจสอบทุกด้าน ก่อนจะพบว่าศาลเล็กแบบนี้มีจำนวนไม่น้อยในหมู่บ้าน ด้านหน้าแต่ละบ้านเรือนล้วนมีหนึ่งหลัง เพียงแต่ถูกทำลายจนหมดสิ้น แม้แต่บ้านเรือนในหมู่บ้านก็พั งทลายจนเกือบหมด
หมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นกำแพงดิน อีกทั้งผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ย่อมไม่อาจทนต่อการพังทลายของเวลาได้ พวกเขาเดินวนอยู่ในหมู่บ้านรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจหาสถานที่ พักผ่อนได้