ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 405 หุบเหวลึกแห่งการฝึกฝน
“บนโลกนี้ก็มีพลังลมปราณ ถึงแม้อาจจะมีความแตกต่าง แต่ฝึกฝนไม่น่าจะมีปัญหา” อวิ๋นเจี่ยวตบไหล่ของเขา พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถึงแม้อาจารย์ปู่จะรู้สึกว่าท่านซื่อบื้อ เบาปัญญา โง่เขลาดุจดั่งหมู แต่อย่างน้อยท่านก็เป็นนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนเสวียนเหมิน ก็แค่การฝึกฝนใหม่อีกรอบ ข้ามั่นใจในตัวท่าน”
“…” นี่คือการปลอบใจหรือ
“อ่อ จริงสิ เพี่อให้กลับไปได้อย่างเร็วที่สุด ตามการศึกษาของท่านแต่ก่อนคงจะช้าไป” เธอครุ่นคิด ดวงตาลุกวาว “เอาอย่างนี้ ฝึกฝนเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ข้าไปออกข้อสอบให้ท่านเดี๋ยวนี้!”
“ไม่เอา!”
เสียงร้องโหยหวนของใครบางคน!
…
ชิงหยาง
ใครบางคนที่กำลังวางค่ายกลป้องกันให้หนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมืองชะงักลง เขาเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์สูงในค่ายกล ก่อนจะผลักคนข้างตัว “เอ๊ะ? อิ้งหลุน ทำไมข้ารู้สึกว่าพลังของคนบนเจดีย์หยุดลงแล้ว”
อิ้งหลุนเงยหน้ามอง ก่อนจะสัมผัสอย่างระวัง ทันใดนั้นเขาก็ผงะไป “เอ๊ะ? ราวกับไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว!”
“เจ้านั่นเสียสติไปแล้ว? เหตุใดจึงไม่โมโหแล้ว” ซื่อไป๋ทำหน้าสงสัย วางมือที่กำลังร่ายคาถาลง “หรือว่า…เขาคิดได้แล้ว ตัดสินใจไม่ชอบศิษย์ตัวน้อยคนนั้นแล้ว จะเลิกกับนาง?! ดีจริง!” หลายวันนี้ พวกเขาทั้งสองคนมัวแต่ผนึกพลังอันโหดเหี้ยมที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก
“เจ้าหุบปากเถิด!” อิ้งหลุนหันมากลอกตาใส่เขา หากเยี่ยยวนคิดได้ก็คงไม่ใช่เยี่ยยวนแล้ว เจ้านั่นดูเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไรสักอย่าง แต่อันที่จริงดื้อรั้นกว่าใคร รอเขาคิดได้ยังไม่สู้รอหกโลกล่มสลาย “เจ้าถูกเขาทำร้ายร่างกายน้อยไป คันตัวใช่หรือไม่”
“ถุย!” ซื่อไป๋ถลึงตาใส่เขา ชี้ไปยังใบหน้าเขียวช้ำของตนเอง “เจ้าจับหน้าของข้าดู นี่เรียกว่าน้อยหรือ เจ้านี่ถึงแม้จะเก็บตัว แต่ขยันออกมาต่อยข้า วันละสามครั้งตรงเวลา ข้าใกล้จะเสียสติอยู่แล้ว!” แต่เพื่อหกโลก เขายังคงต้องมาวางค่ายกลที่นี่อย่างเลือกไม่ได้
“เจ้าสมควรโดน!” อิ้งหลุนไม่เห็นใจเจ้าโง่นี้แม้แต่น้อย “ใครใช้ให้เจ้ากินอิ่มไม่มีอะไรทำ แตะต้องใครไม่แตะ ไปแตะต้องศิษย์หลานตัวน้อยของเขา”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนเก็บตัวมานับหมื่นล้านปี ไม่เปิดหูเปิดตาอย่างเขาจะเปิดหูเปิดตาขึ้นมากะทันหัน!” ซื่อไป๋ลูบคลำใบหน้าที่บวมดุจซาลาเปาของตนเอง สูดลมหายใจเข้าด้วยความเจ็บ เขาเพียงแค่ต้องการยั่วโมโหเยี่ยยวน ไม่เคยคิดจะส่งคนกลับไป “เจ้าด้วย ไม่คิดจะเตือนข้า?”
“ข้าไม่เตือน? เจ้าให้โอกาสข้าเตือนหรือ!” อิ้งหลุนระเบิดขึ้น เขาไปทำอะไรให้ใครกัน เขายังไม่เจ็บปวดกับผักที่ถูกแช่แข็งไว้ด้านหลังเขาเลย คนหนึ่งเก็บตัวชอบความรุนแรง อีกคนโง่เขลาเสียสติ เขาถูกหนีบไว้ตรงกลางง่ายนักหรือ “ตอนนั้นใครไม่ยอมฟังคำเตือนของข้าจับคนไป?” เขารีบตามไป บุกเข้าพื้นที่ของเขาอย่างยากลำบาก แต่อีกฝ่ายหาที่ตายเอง
ซื่อไป๋ราวกับนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ได้ เขาลูบคลำจมูกอย่างเก้อเขิน ก่อนจะมองไปยังเจดีย์สูงด้านหน้า ตั้งแต่ศิษย์ตัวน้อยนั้นหายไป พลังอำมหิตที่ลอยลงมาจากเจดีย์ราวกับจะพังทลายฟ้าดินนั้นสลายหายไปไม่น้อย ราวกับว่าสงบลงในทันที
“หายไปแล้ว ข้าว่าเขาปล่อยวางได้แล้ว” ซื่อไป๋เคาะค่ายกลที่หนาดุจกำแพงเมืองอย่างตื่นเต้น เขากลอกตาไปมา ทันใดนั้นมีบางอย่างแวบผ่านไป เขาหันหน้าไปพูดกับอิ้งหลุน “แต่ว่าศิษย์ตัวน้อยของเขาไม่เลว ข้าชอบ เจ้าว่าหากเขาปล่อยวางแล้ว ข้าจะ…”
ปัง!
เขายังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นแสงสีทองลอยออกมาจากเจดีย์สูง กระแทกเข้าบนหน้าอกของเขาอย่างรุนแรง กระแทกตัวเขาลอยออกไป ก่อนจะจมปักลงในดินลึก ค่ายกลป้องกันที่หนาดุจกำแพงเมืองก็แหลกละเอียดลง
…
หมู่บ้านบนภูเขาในดินแดนอีกแห่ง
งูตัวเล็กสีดำสนิทมุดออกมาจากบนพื้น มันบิดตัวเล็กน้อยราวกับไม่คุ้นชิน ก่อนจะแลบลิ้นออกมาแยกแยะกลิ่นบนอากาศ ดวงตาดุจองุ่นฉายแววแพรวพราว จากนั้นเลื้อยไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
…
เพื่อการกลับไปชิงหยาง ถ่ายทอดวิชาให้ผู้คน พัฒนาเสวียนเหมินต่อไป อวิ๋นเจี่ยวกำหนดแผนการศึกษาแบบทวีคูณให้ชายแก่ชั่วคราว ถึงแม้ทางนี้จะไม่มีพลังลมปราณที่หนาแน่นเหมือนชิงหยาง และไม่มีตำราการฝึกฝนของอาจารย์ปู่ แต่โชคดีที่อัจฉริยะอวิ๋นเจี่ยวมีความเป็นเลิศด้านความจำ
ไม่มีตำราไม่เป็นไร เธอจำได้! โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมสมัยใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีอย่างการบันทึกเสียง อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ใช้เวลานานมากก็พิมพ์ตำราเหล่านั้นออกมา
อีกทั้งยังนึกถึงชายแก่ต้องเริ่มฝึกฝนตั้งแต่ต้น เธอยังพิมพ์ตำราขั้นพื้นฐานที่เคยเห็นในสำนักเทียนซือ
ออกมาด้วย มีเพียงเรียนไม่รู้เรื่อง ไม่มีสิ่งใดที่เธอสอนไม่ได้
ชายแก่มองเอกสารที่พิมพ์ออกมากองใหญ่ตรงหน้า ทันใดนั้นมีความรู้สึกเหมือนกลับไปในนรก อยากจะร้องไห้ออกมา
เหตุใดเขาจึงหนีไม่พ้นดวงชะตาที่ต้องศึกษา หากเขาแสร้งสูญเสียความทรงจำอีกครั้งจะได้ผลหรือไม่
“เริ่มจากเล่มนี้ก่อน!” อวิ๋นเจี่ยวหยิบวิธีการฝึกฝนขั้นพื้นฐานด้านบนสุดยัดใส่มือของเขา “จุดยากด้านในข้าระบุเอาไว้แล้ว ตอนที่ท่านศึกษาก็จำเอาไว้ สิ่งเหล่านี้ท่านล้วนเคยเรียนมาก่อน คงจะจับทางได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่รื้อฟื้นสิ่งที่เรียนไปก็พอ สิ่งสำคัญคือฝึกฝนให้มาก”
ชายแก่ใกล้จะร้องไห้แล้ว แต่ก็ต้องรับไปอย่างช่วยไม่ได้ เขาดิ้นรนเล็กน้อย “เจ้าหนู…ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว เริ่มเรียนตอนนี้จะทันหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวหันมามองเขา ตอบกลับด้วยความประหลาดใจ “ตอนที่ข้าสอนท่านที่ชิงหยาง อายุท่านน้อยหรือ”
ชายแก่ “…” ฉึบ มีดปักอีกด้าม พูดไม่ออก
ใครบางคนจึงทำได้เพียงมุดลงไปในกองเอกสาร ดูท่าทางนางร้ายอย่าง ‘การศึกษา’ ไม่คิดจะปล่อยเขาไปในชาตินี้
ในขณะที่อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะกำชับต่อ เสียงกริ่งก็ดังขึ้นพอดี เธอลุกขึ้นไปเปิดประตู ก่อนจะพบเหลยไห่เฉาสองพ่อลูกที่ยืนยิ้มด้วยความเกรงใจอยู่หน้าประตู
“คุณอวิ๋น รบกวนด้วย”
อวิ๋นเจี่ยวนึกถึงตัวตนของชายแก่ในโลกทางนี้ขึ้นมาได้ เธอชะงักไปเล็กน้อย “พวกคุณมามีธุระอะไรเหรอ”
“คุณอวิ๋น พวกเรามาดูคุณแม่” เหลยไห่เฉายิ้มอย่างเกรงใจ “ผมได้ยินว่าพวกคุณกลับมาจากเมืองเอแล้ว ขอโทษด้วยจริงๆ หลายวันนี้ต้องรบกวนคุณดูแลคุณแม่ ผมเองก็ไม่อาจบังคับคนแก่ได้ จึงได้แต่มาถามว่าวันนี้ท่านจะกลับไปพร้อมพวกเราหรือไม่”