ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 409 งูดำ
“เมื่อกี้ท่านดูดซับพลังลมปราณเร็วเกินไป ค่ายกลรวมพลังลมปราณตามความเร็วในการชักนำพลังของท่านไม่ได้ ดังนั้นค่ายกลจึงพังทลายลง” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังใต้เท้าเขาพร้อมอธิบาย
ชายแก่ก้มลงมอง พบว่าค่ายกลสีขาวที่สว่างในเดิมทีหายไป ทิ้งไว้เพียงรอยไหม้สีดำเป็นการแสดงถึงร่อยรอยของค่ายกลที่พังทลาย
“ทำไมเป็นเช่นนี้” ชายแก่ทำหน้าฉงน
“ข้าเองก็อยากรู้” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว การชักนำพลังลมปราณเข้าร่างกายครั้งแรก โดยทั่วไปดูซับได้ไม่มาก แต่ค่ายกลรวมพลังลมปราณนี้เธอวางมาสามวัน ดูดซับพลังลมปราณมาสามวันเต็ม อีกทั้งยังมีพลังจากเครื่องหยกนั้น ตามหลักแล้วอย่าว่าแต่การชักนำพลังเข้าร่างกาย แต่พลังด้านในเพียงพอให้ลูกศิษย์ที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกฝนไปหนึ่งเดือนแล้ว ไม่ควรจะปรากฏเหตุการณ์พลังลมปราณไม่เพียงพอ จนกระทั่งค่ายกลพังทลายลง “ท่านยื่นมือมา ข้าดูชีพจรของท่านให้”
“อ่อ” ชายแก่รีบถกแขกเสื้อขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวใช้พลังลมปราณตรวจดูชีพจรของเขาอย่างละเอียด ยิ่งลึกลงไปเท่าใดยิ่งตะลึง ภายในเส้นชีพจรของเขาเต็มไปด้วยพลังลมปราณ พลังลมปราณภายในค่ายกลก่อนหน้านี้ล้วนถูกเขาดูดเข้าไปภายในร่างกาย อีกทั้งกำลังหลอมรวมเข้าไปในตันเถียนอย่างช้าๆ ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย
“เจ้าหนู เป็นอย่างไร” ชายแก่ถามอย่างกังวล “ร่างกายข้าในเวลานี้มีปัญหาอะไรหรือไม่” ดีที่สุดคือให้เขากลายร่างกลับไปเป็นผู้ชาย
“ไม่มีปัญหา!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว “เพียงแต่เส้นชีพจรของท่านกว้างใหญ่กว่าคนทั่วไปเล็กน้อย” เธอเองก็ไม่รู้สาเหตุ ครุ่นคิดสักพักจึงพูดขึ้น “สองวันนี้ท่านอย่าเพิ่งฝึกฝน รอข้าวางค่ายกลรวมพลังลมปราณใหม่ก่อน ท่านค่อยลองอีกครั้ง”
“อ่อ” ชายแก่พยักหน้า ไม่คิดว่าการชักนำพลังเข้าร่างกายในดินแดนนี้จะยุ่งยากเพียงนี้
อวิ๋นเจี่ยวคำนวณเวลา อาวุธวิเศษของนายท่านเผยส่งมาแล้ว คนอื่นที่ขอยันต์ก็คงจะส่งของมาในเร็ววัน เมื่อถึงเวลาเพียงพอให้เธอวางค่ายกลรวบรวมพลังลมปราณที่หนาแน่นมากขึ้น
เมื่อถึงเวลาหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เธอคงต้องขอนายท่านเผยไปตระกูลเผยอีกสักครั้งแล้ว เพราะสถานที่แห่งนั้นมีพลังลมปราณมาก เพียงพอต่อการฝึกฝนของชายแก่
“ท่านกลับไปก่อนเถิด! ข้าเก็บกวาดเสียหน่อย” อวิ๋นเจี่ยวมองพื้นที่ระเกะระกะ เริ่มขับไล่คนออกไป
“ได้!” ชายแก่ตาลุกวาว เขารีบยืนขึ้นทันที วันที่เลิกเรียนเร็วช่างมีความสุข
“อ่อ จริงสิ” อวิ๋นเจี่ยวพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “เวลานี้ท่านมีพลังแล้ว กลับไปวาดยันต์กำจัดปีศาจ จำไว้ว่าวาดให้มาก ต่อจากนี้มีคนจะมาซื้อ”
“…” ชายแก่ชะงักฝีเท้า ไหนบอกว่าเลิกเรียนเร็ว ทันใดนั้นมีความรู้สึกอยากกลับไปออกข้อสอบให้ลูกศิษย์ในสำนักเทียนซือขึ้นมา เขาตัดสินใจแล้ว หลังจากกลับไปเขาจะสอบรายวัน!
ชายแก่ห่อเหี่ยวลงในทันที เขาเดินลากเท้าที่หนักอึ้งออกจากประตูไป ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าห้องด้านข้าง ทันใดนั้นเหมือนมีบางอย่างเปียกชื้นเคลื่อนผ่านหลังเท้ามุ่งตรงเข้าห้องไป
เขาก้มหน้ามอง ทันใดนั้นขาอ่อนระทวยด้วยความตกใจ ก่อนจะล้มลงกับพื้น กรีดร้องออกมา “อ๊าก!!!”
“เกิดอะไรขึ้นอีก” อวิ๋นเจี่ยวหันมามองด้วยความสงสัย ทำไมหลังจากที่เพศสภาพเปลี่ยนไป ความกล้าของเขาก็ลดลง
ชายแก่ชี้ไปที่มุมกำแพงด้วยมือที่สั่นเทา สีหน้าตื่นตระหนก “งู…งู…งู! มีงู!”
เธอมองตามทิศทางที่ชายแก่ชี้ ก่อนจะพบว่ามุมกำแพงมีสิ่งมีชีวิตสีดำสนิทอยู่ตัวหนึ่ง ขนาดเท่านิ้วโป้ง พลางเคลื่อนตัวเข้าไปภายในห้องพลางแลบลิ้นสีแดงออกมา
อวิ๋นเจี่ยวเองก็ตกใจ ขนลุกซู่ไปทั้งตัวในทันที เธอไม่ได้ขี้ขลาด เพียงแต่ขัดขืนสิ่งมีชีวิตเลือดเย็นอย่างงูจากภายในใจเท่านั้น เธอยกไม้กวาดในมือขึ้นตีลงไป
แต่งูนั้นกลับเคลื่อนตัวไปด้านข้างอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่ตีไม่โดน อีกทั้งมันยังเลื้อยขึ้นมาตามไม้กวาด ในขณะที่อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะร่ายคาถา แต่งูนั้นเลื้อยขึ้นมาครึ่งทางก็หยุดลง มันตั้งตัวตรงขึ้น ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น
ทั้งที่เป็นดวงตาเย็นชาสีดำสนิท แต่มันประกายไปด้วยแสง อีกทั้งนำมาซึ่งความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับตื่นเต้นและ…น้อยใจ?!
อวิ๋นเจี่ยวผงะไป ทางชายแก่เดินกลับมาแล้ว เขามองงูบนไม้กวาด ก่อนจะจำมันได้ “นี่…นี่คือมาร...ไม่ ปีศาจงูในวัดร้างนั่นไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ที่นี่!”
ชายแก่คิดหยิบยันต์ออกมาด้วยความเคยชิน แต่หยิบอยู่ครึ่งวันถึงได้พบว่าตนเองไม่มี ทำได้เพียงพูดอย่างร้อนใจ “เจ้าหนูระวัง ปีศาจงูนี้ไม่ย่อมตาย ต้องมาแก้แค้นพวกเราอย่างแน่นอน!” พูดจบก็ไม่สนใจสิ่งอื่น ยกแจกันดอกไม้ขึ้นหวังจะช่วยคน
ยังไม่ทันรอเขาขว้างลงไป งูตัวเล็กที่เกาะอยู่บนไม้กวาดสะบัดหางขึ้นมาอย่างกะทันหัน ได้ยินเพียงเสียงดัง…เพี้ยะ!
สะบัดเข้าที่ใบหน้าของชายแก่อย่างแม่นยำ ทันใดนั้นเขารู้สึกเพียงแสบร้อนบนใบหน้า ร่างกายถูกสะบัดจนเซไปด้านข้าง ก่อนที่จะสะดุด ปล่อยแจกันในมือออก กระแทกเข้าที่เท้าของตนเอง
“โอย” ชายแก่เจ็บจนเสียงร้องเปลี่ยนคีย์ เขาสูดลมหายใจเข้า ก่อนที่คิดจะกอดขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ยังไม่ทันได้ยืนก็ล้มลงบนพื้น เขาทั้งโกรธทั้งร้อนใจ ไม่ลืมที่จะเตือนอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู ระ…”
“อาจารย์ปู่?”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเรียกของอวิ๋นเจี่ยวดังขึ้น
เอ๊ะ?
ทันทีที่สิ้นเสียง แสงในดวงตาของงูตัวนั้นก็สว่างขึ้นอีกหน่อย จากนั้นเลื้อยเข้าใกล้อวิ๋นเจี่ยวมากขึ้น อีกทั้งยังยื่นปลายหางแหลมออกมาพัวพันนิ้วก้อยของเธอ พันรอบแล้วรอบเล่าด้วยดวงตาที่ฉายแววน้อยใจ
ส่วนชายแก่ผงะไปจนลืมความเจ็บเท้า “อาจารย์ปู่? อาจารย์ปู่อยู่ไหน” เขารีบมองหารอบด้าน ไม่พบร่างที่คุ้นเคยแม้แต่น้อย “อาจารย์ปู่ข้ามมาหรือ ทำไมข้าไม่เห็น”
อวิ๋นเจี่ยวยังคงจ้องมองงูดำตัวนั้น งูดำเลื้อยขึ้นมาบนมือของเธอแล้ว มันพัวพันข้อมือของเธอราวกับกำไลสีดำ เพียงแต่หางแหลมยังคงพันอยู่บนนิ้วก้อยของเธอ ทันใดนั้นยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คาดเดา “ท่านข้ามมาได้อย่างไร ไม่ได้บอกว่าข้ามมาไม่ได้หรือ”
ชายแก่กระจ่างในที่สุด เขารีบลุกขึ้นมาอย่างไม่สนใจความเจ็บเท้า มองงูบนมือของอวิ๋นเจี่ยวด้วยความตะลึง “เจ้าหนู เจ้าหมายถึง…งู…งูตัวนี้คืออาจารย์ปู่?!”
ทันทีที่สิ้นเสียง งูดำที่จ้องมองอวิ๋นเจี่ยวอย่างไม่ละสายตาหันหน้ามาทันที ดวงตาที่เย็นยะเยือกจ้องมองเขา ทั้งที่ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ แต่งูตัวนั้นราวกับพูดว่า เจ้าโง่ ไปให้พ้น!
“ได้เลย อาจารย์ปู่!” ชายแก่ตัวสั่น ก่อนจะหยิบแจกันดอกไม้บนพื้นขึ้นมาและเดินกะเผลกจากไป อีกทั้งยังปิดประตูให้ด้วยความเคยชิน นิสัยแบบนี้คืออาจารย์ปู่ไม่มีผิด!
“…”