ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 411 คนคุ้นเคยป่วยหนัก
วันที่สอง อวิ๋นเจี่ยวก็นำยันต์กำจัดปีศาจที่ชายแก่วาดเสร็จส่งไปให้นายท่านเผย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรีบเร่ง เธอจึงเลือกใช้บริษัทส่งพัสดุด่วนให้ แน่นอนว่าเก็บเงินปลายทาง เพราะ ะว่าเวลานี้อาจารย์ปู่ก็ข้ามมาแล้ว เธอต้องเลี้ยงครอบครัว
เมื่อครุ่นคิดว่าสิ่งของที่นายท่านตระกูลจางและคนอื่นใกล้จะถึงแล้ว เธอจึงวางค่ายกลรวบรวมพลังลมปราณใหม่อีกครั้ง อีกทั้งยังลงมือทำธงค่ายกลขึ้นมา ถึงแม้ดินแดนทางนี้จะขาดแคลนขอ องใช้ในเสวียนเหมิน แต่วัตถุดิบยังสามารถหาได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ทำได้ยากเท่านั้น อีกทั้งมีสิ่งของที่มีพลังลมปราณจำนวนหนึ่ง ครานี้ค่ายกลที่วางคงจะใช้การได้มากยิ่งขึ้น
แต่เธอไม่คิดว่า ระหว่างที่เธอยังรอการติดต่อจากคนขอยันต์นั้น เธอจะได้รับสายที่เกินความคาดหมาย
เมื่อเห็นชื่อเสี่ยวหวังที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์มือถือ เธอก็ผงะไป ใช้เวลาครุ่นคิดสักพักถึงนึกขึ้นมาได้ อีกฝ่ายคือแพทย์ฝึกหัดของเธอในโรงพยาบาลในเวลานั้น อาจเป็นเพราะผ่านมานา าน อีกทั้งเธอเพิ่งจะฟื้นความทรงจำได้ไม่นาน ดังนั้นจึงไม่คุ้นชินกับเรื่องที่ตนเองเป็นหมอเล็กน้อย
เธอมองดูโทรศัพท์ส่งเสียงดังห้าหกครั้ง ก่อนจะรับขึ้น “ฮาโหล?”
“ผอ.อวิ๋น” เสียงของเสี่ยวหวังดังออกมา เต็มไปด้วยความลังเลและเสียดาย “ฉันคือเสี่ยวหวัง เวลานี้คุณอยู่เมืองซีใช่หรือไม่ วันนี้กลับมาโรงพยาบาลได้ไหมคะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวผงะ จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองยื่นลาออกไปแล้ว
“คืออย่างนี้ค่ะ…” เสียงของเสี่ยวหวังชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “คณบดีเฉินบอกว่าให้ฉันมาแจ้งให้ ผอ.มาดำเนินการเรื่องเอกสารลาออก อีกทั้งยังมีเอกสารบางอย่างต้องให้ ผอ.เซ ซ็นชื่อค่ะ”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ถึงแม้ตนเองจะยื่นใบลาออกแล้ว แต่เอกสารไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นทางการเสียที ก่อนหน้านี้เพราะการโฆษณาของตระกูลเหลย คณบดีรองเฉินจึงอ้างว่าเธอลาป่วย ไม่ยอมให้เ เธอลาออก ดังนั้นเรื่องนี้จึงยืดเยื้อมาเรื่อยๆ แต่ไม่คิดว่า เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งเดือน คณบดีรองเฉินจะเปลี่ยนใจเร็วเพียงนี้ ยอมรับการลาออกของเธอ
เธอไม่ได้ถามอย่างละเอียด แต่หากสามารถจัดการได้โดยเร็วก็เป็นเรื่องดี ดังนั้นจึงรับปาก “ได้ ฉันจะเข้าไปตอนบ่าย”
“ได้ค่ะ” เสี่ยวหวังรับปาก แต่ไม่ได้วางสาย แม้แต่น้ำเสียงก็ยังคงเต็มไปด้วยความลังเล “ผอ.อวิ๋น...”
“ทำไม คณดีเฉินยังมีเรื่องอื่นอีก?”
“ไม่ๆ!” เธอรีบปฏิเสธ ก่อนจะถาม “แต่ว่า…ตอนบ่ายเพื่อนในแผนกของพวกเราคิดจะไปโรงพยาบาลสมอง อยากจะถามว่าผอ.จะไปด้วยกันไหมคะ”
“โรงพยาบาลสมอง?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ “พวกคุณไปทำอะไร!” แลกเปลี่ยนความรู้เหรอ
“เอ๊ะ?” เสี่ยวหวังฉงน “ผอ.อวิ๋นยังไม่รู้เหรอคะ คณบดีหลินรักษาตัวอยู่ที่นั่น เกือบครึ่งเดือนแล้ว!
“คณบดีหลิน!” อวิ๋นเจี่ยวตกใจ ถามด้วยความร้อนใจ “เขาเป็นอะไร”
“ได้ยินว่าหลังจากกลับมาจากสัมมนาก็ล้มลงไปอย่างกะทันหัน ยังไม่ฟื้นจนถึงตอนนี้” เสี่ยวหวังอธิบาย “หลังจากการตรวจแล้ว วินิจฉัยว่าอาจเป็นอาการทางสมอง จึงเปลี่ยนไปโรงพยาบาลนั้น น”
อวิ๋นเจี่ยวกระชับมือข้างตัวแน่น มิน่าคณบดีรองเฉินถึงเร่งให้เธอไปทำเรื่องลาออก เธอก็ว่าเหตุใดคณบดีหลินจึงไม่ตอบกลับจดหมายลาออกของเธอ ที่แท้เขาป่วยมานานเพียงนี้
“ฉันรู้แล้ว ขอบใจเธอมาก เสี่ยวหวัง” อวิ๋นเจี่ยวกล่าวขอบคุณ ก่อนจะวางสายไป
เธอหันหลังหยิบกุญแจ ก่อนจะพูดกับคนที่กำลังหมอบตัวทำข้อสอบอยู่บนโต๊ะน้ำชา “ชายแก่ ข้าออกไปหาเพื่อนคนหนึ่ง จะรีบกลับมา”
“อ่อ” ชายแก่เงยหน้าขึ้นจากข้อสอบ ถามด้วยความเคยชิน “ข้าต้องไปด้วยไหม”
“ไม่ต้อง เจ้าดูอาจารย์ปู่เอาไว้ให้ดี มีอะไรโทรหาข้า” เธอพลางเปลี่ยนรองเท้าพลางกำชับ ก่อนจะชี้ไปในห้องครัว “ข้าทำอาหารเอาไว้ รอเขาตื่นขึ้นมาอย่าลืมยกให้เขา”
“อ่อ” ชายแก่นั่งลงไป มองห้องครัวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม กลืนน้ำลายลงคอดังเฮือก จากนั้นหันไปมองประตูห้องที่ปิดสนิท
เฮ้อ ช่างเถิด อดทนไว้ สิ่งของของอาจารย์ปู่มีพลังทำลายล้างสูง เขาไม่กล้าแอบกิน
…
อวิ๋นเจี่ยวเดินทางไปโรงพยาบาลสมอง สอบถามห้องพักของคณบดีหลิน เดินมุ่งตรงไปยังห้องคนป่วย สุดท้ายถูกแจ้งว่า อีกฝ่ายอยู่ในห้องดูแลผู้ป่วยอาการสาหัส จึงทำได้เพียงหันหลังเดินขึ้นไ ไปด้านบนต่อ
ยังไม่ถึงห้องไอซียูธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังยืนอยู่ด้านนอกห้องด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและกังวล เธอมองเข้าไปยังคนที่อยู่ภายในห้องผ่านกระจก เธอคนนั้นคือภรรยาของคณบดีหลิ น เจิ้งฮุ้ย
“คุณน้าเจิ้ง” เธอเรียกขาน ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เจิ้งฮุ้ยหันกลับมา กวาดตามองเธออย่างฉงน สักพักถึงได้นึกขึ้นได้ “หมออวิ๋น?”
ตอนนั้นอวิ๋นเจี่ยวยังเรียนไม่จบก็เริ่มทำงานที่โรงพยาบาลในต่างประเทศแล้ว ระหว่างนั้นยังตีพิมพ์บทความจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบทความที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากนานาชาติ ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่าเธอมีความคิดที่จะกลับประเทศ โรงพยาบาลในประเทศจำนวนมากล้วนเชิญเธอเข้าร่วม คณบดีหลินเป็นคนที่มีความจริงใจที่สุดในนั้น เขาเดินทางไปต่างประเทศด้วยตนเองถึง งสามครั้ง อีกทั้งเมืองซี เป็นบ้านเกิดของเธอ ดังนั้นเธอจึงรับปากเข้าร่วมโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง เวลาการรับตำแหน่งของเธอไม่นาน แต่สามารถพูดได้ว่า ในฐานะผู้นำ คณบดีหลินเป็นคณบดี ที่ดีคนหนึ่ง เจิ้งฮุ้ยในฐานะภรรยาของเขา เธอย่อมเคยพบหน้า
“ขอโทษค่ะ ฉันเพิ่งรู้เรื่องนี้” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย ก่อนจะพูดต่อ “สถานการณ์ของคณบดีหลินตอนนี้เป็นยังไงคะ”
สีหน้าของเจิ้งฮุ้ยแย่ลงกว่าเดิม เธอส่ายหน้า “ไม่ค่อยดี! ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลก็ไม่ฟื้นขึ้นมาเลย หลายวันก่อนเหมือนอาการจะดีขึ้น แต่เช้านี้ก็เริ่มแย่ลงอีกแล้ว จนถึงตอนนี้ยัง งไม่ออกมา!” พูดจบ เธอก็ซับน้ำตา หันหน้าไปมองคนที่อยู่ในห้องไอซียู
อวิ๋นเจี่ยวหันไปมองห้องไอซียูกวาดตามองไปยังเตียงที่อยู่ตรงกลาง ทันใดนั้นสายตาหยุดชะงัก
เห็นเพียงแต่ชายวัยห้าสิบกำลังนอนอยู่บนเตียง บนตัวติดเต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนคนไข้คนอื่น อีกทั้งยังสวมเครื่องช่วยหายใจ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ บนตัวของอีกฝ่ายมีพลังสีแ แดงที่เหมือนควันกลุ่มหนึ่งกำลังมุดเข้าไปในร่างกายของเขา
อะไรกัน!
อวิ๋นเจี่ยวตะลึงจนสูดลมหายใจเข้า เธอไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน แต่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตามการรุกรานของพลังสีแดงนั้น พลังชีวิตบนตัวของคณบดีหลินกำลังถูกเบียดออกจากร ร่างกายทีละนิด อีกทั้งพลังสีแดงนั้นปกคลุมหน้าอกของเขาเอาไว้ และกำลังรุกรานขึ้นไปบนหัว
[ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…]
อุปกรณ์ภายในห้องส่งเสียงดังแสบหูขึ้น มันคือเสียงของสัญญาณชีพจรหัวใจหยุดเต้น หัวใจของอีกฝ่ายหยุดเต้นแล้ว!
“ตาหลิน!” เจิ้งฮุ้ยรู้ดีว่ามันคือเสียงอะไร น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พลางร้องพลางตะโกน “หมอ! หมอ!”
หมอมาอย่างรวดเร็ว นาทีถัดมา หมอและพยาบาลหลายคนเข้าไปช่วยชีวิต เจิ้งฮุ้ยแทบจะฝังตัวอยู่บนกระจก ไม่ทันได้สนใจอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง เรียกขานชื่อของคณบดีหลินอย่างร้อนใจ
แต่การช่วยเหลือด้านในไม่มีประโยชน์อะไร อวิ๋นเจี่ยวเห็นว่าควันสีแดงนั้นกำลังปกคลุมใบหน้าครึ่งซีกของคณบดีหลิน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังชีวิตบนตัวของเขาจะสลายไปจนหมด แต่พวก เธอถูกกันไว้ด้านนอกเข้าไปไม่ได้