ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 412 อาการแปลกประหลาด
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวมาถึงข้างประตู อาศัยช่วงจังหวะที่ไม่มีคนสนใจ ยกมือใช้พลังลมปราณวาดยันต์ลงไปบนบานประตู จากนั้นกระตุ้นขึ้นมา
นาทีถัดมา แสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งตรงไปยังคนที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย สลายพลังสีแดงนั้นไปกว่าครึ่ง ในเวลาเดียวกันมีเสียงบางอย่างแตกละเอียดตามมา พยาบาลและหมอที่อยู่ด้านในต่างส่งเส สียงร้องด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น ไฟนี้ไม่ได้เปิด ทำไมจู่ๆ ถึงแตก”
“อาจเป็นเพราะสายไฟเกิดปัญหา”
“คนไข้เป็นยังไงบ้าง ได้รับบาดเจ็บไหม โชคดีที่เป็นเวลากลางวัน”
“หมอ…ชีพจรหัวใจ! ชีพจรหัวใจกลับมาแล้ว!”
“ดี อย่าเหม่อลอย ช่วยต่อ!”
“…”
หมอและพยาบาลด้านในต่างเผยสีหน้าดีใจ ก่อนจะลงมือช่วยต่อ ไม่มีใครสังเกตแสงสีทองที่ส่งจากทางประตูไป
“คุณน้าเจิ้ง วางใจเถอะ! คณบดีหลินไม่เป็นอะไรแน่นอน” อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้า ตบไหล่ของอีกฝ่ายเป็นการปลอบใจ
เจิ้งฮุ้ยย่อมได้ยินบทสนทนาภายใน ท่าทางตึงเครียดของเธอผ่อนคลายลงเล็กน้อย
พวกเธอยืนอยู่ด้านนอกราวอีกครึ่งชั่วโมง สถานการณ์ของคณบดีหลินเริ่มดีขึ้นแล้ว อาการก็เริ่มคงที่แล้ว เวลานี้หมอถึงได้ออกมาแจ้งข่าวให้รอสังเกตอาการอีกหลายชั่วโมง หากอาการค คงที่ตลอดก็สามารถย้ายกลับไปห้องพักฟื้นทั่วไปได้แล้ว
อวิ๋นเจี่ยวคิดว่าช่วยคนต้องช่วยให้สุด จึงอยู่รอเป็นเพื่อนน้าเจิ้งในโรงพยาบาลต่อ โชคดีที่หลังจากพลังสีแดงก้อนนั้นถูกพลังลมปราณของเธอตีสลายไปรวมตัวอย่างเชื่องช้า ใช้เวลาก กว่าครึ่งวันก็ยังไม่อาจรุกรานขึ้นมาถึงหน้าอกของอีกฝ่าย
ในขณะที่ฟ้ากำลังจะมืดลง คณบดีหลินจึงถูกเข็นออกมาจากห้อง ไอซียู ย้ายกลับห้องพักฟื้นทั่วไปอีกครั้ง
เจิ้งฮุ้ยโล่งใจในที่สุด เธอหันมามองอวิ๋นเจี่ยว “หมออวิ๋น ขอบคุณมากที่มาเยี่ยมตาหลิน อาการของเขาคงที่แล้ว คุณก็อยู่เป็นเพื่อนฉันทั้งวันแล้ว กลับไปก่อนเถอะ! ฉันอยู่ที่นี่ ก็พอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ! ไม่รีบ!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว เมื่อเห็นหมอออกไปจนหมดแล้ว เธอจึงยื่นมือจับชีพจรของอีกฝ่าย ใช้พลังลมปราณในการตรวจ คิ้วของเธอขมวดมุ่นในทันใด เธอคาดไว้ไม่ผิด พลังสีแดงแปลกประหลาดกลุ่มนั้นรุกรานเข้าตันเถียนแล้ว อีกทั้งกำลังรุกรานไปยังจิตของอีกฝ่าย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้จิตของเขาจะไม่ถูกครอบครอง แต่พลังชีวิตบนตัวจะถูกดูดกลื นจนหมดสิ้นจากพลังสีแดงในตันเถียน
“น้าเจิ้ง…” เธอเงยหน้าขึ้นมองเจิ้งฮุ้ย พูดด้วยความลังเล “ฉันเห็นอาการของคณบดีหลินนี้ เกรงว่าจะรักษายากในโรงพยาบาลสมอง หากเขาไม่ฟื้น คงจะอันตรายอย่างยิ่ง”
“เรื่องนี้ฉันก็รู้…” เจิ้งฮุ้ยถอนหายใจยาว ท่าทางที่ผ่อนคลายลงเมื่อสักครู่โศกเศร้าขึ้นอีกครั้ง “อาการของเขาแปลกประหลาดเกินไป…มีหมอมาดูตั้งมากมาย แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ฉันก็ไม่มีวิธี…”
“หรือไม่ ให้ฉันลองดู?” เธอเสนอขึ้น
“ฮะ?” เจิ้งฮุ้ยผงะไป มองเธอด้วยความประหลาดใจ “แต่…ก่อนหน้านี้ตาหลินก็พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่ง ฉันคิดว่า…” ตอนนั้นหลังจากที่คณบดีหลินกลับมาก็เป็นลมล้มไปทันที เข ขาถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่ง เวลานั้นหมอทุกคนต่างมาตรวจดูแล้ว หรือว่าหมออวิ๋นยังไม่เคยดูเหรอ
“ช่วงก่อนฉันมีธุระต้องทำ จึงไม่ได้อยู่โรงพยาบาล” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย “หากน้าเจิ้งไม่รังเกียจ ฉันจะดูให้ตอนนี้”
“ตอนนี้?” เจิ้งฮุ้ยตะลึง ไม่ต้องถามอาการ ไม่ต้องรู้รายละเอียด ไม่ต้องดูรายการการตรวจเหรอ
“ใช่ ตอนนี้!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า เธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพราะคณบดีหลินไม่ได้ป่วยแต่อย่างใด “ฉันมีความมั่นใจแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ยังทัน หากยืดเยื้อต่อไปคงจะไม่ได้แล้ว”
เจิ้งฮุ้ยลังเลเล็กน้อย เธอมองไปยังอวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะมองสามีที่นอนอยู่บนเตียง ตาหลินเพิ่งพ้นขีดอันตราย อีกฝ่ายก็เปิดปากขอรักษา ไม่ว่าใครย่อมต้องเกิดความสงสัย แต่ในฐานะที่ เธอเป็นหมอที่สามีของตนเองไปเชิญมาจากต่างประเทศ เธอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันพยักหน้า “ได้! รบกวนด้วยหมออวิ๋น”
อวิ๋นเจี่ยวโล่งใจ เธอยังเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อใจเธอ พลางเดินหันหลังไปปิดประตู พลางหยิบเข็มสีทองออกมา บอกให้เจิ้งฮุ้ยปลดเสื้อของคณบดีหลินออก จากนั้นจึงลงมือฝังเข็ม
ตามจำนวนเข็มที่ฝังเพิ่มมากขึ้น อวิ๋นเจี่ยวพบว่าพลังสีแดงถึงแม้จะดูแปลกประหลาด แต่ไม่ได้รับมือยากอะไร เพียงแค่เข็มสีทองฝังลงไป พลังลมปราณไหลเวียนไปตามเส้นชีพจร พลังสีแดงนั้นจ จะถูกขับไล่ออกมาจากเส้นชีพจรอัตโนมัติ แม้แต่พลังที่ยึดครองตันเถียนก็ถูกขับไล่ออกมาท่ามกลางการฝังเข็ม
พลังชีวิตของอีกฝ่ายเริ่มกลับเข้าร่างกาย ใบหน้าซีดขาวเริ่มมีสีฝาด ดูมีชีวิตชีวาขึ้น เมื่อคำนึงถึงอายุของอีกฝ่าย เธอเปลี่ยนลักษณะของค่ายกลเล็กน้อย ชักนำพลังลมปราณจำนวนหนึ งช่วยการฟื้นฟูภายในตันเถียน
จากนั้นจึงเก็บเข็มอย่างช้าๆ คนบนเตียงกระแอมไออย่างหนักออกมา ก่อนจะลืมตาขึ้น
“แค่กๆ…”
“ตาหลิน!” เจิ้งฮุ้ยที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ มองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “คุณตื่นแล้ว!”
“ผม…ผมเป็นอะไรไป” ตาหลินที่เพิ่งฟื้นขึ้นมายังงุนงงอยู่เล็กน้อย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความแหบพร่า หันหน้าไปเห็นอวิ๋นเจี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้าง “หมออวิ๋น?! ทำไมคุณอยู่ที่นี่”
“ตาหลิน คุณทำฉันตกใจแทบแย่!” เจิ้งฮุ้ยพลางเช็ดน้ำตาพลางอธิบาย “คุณสลบไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว โชคดีที่มีหมออวิ๋น ไม่อย่างนั้น…”
“ครึ่งเดือน!” ตาหลินฉงนมากขึ้น
“คณบดีหลิน ตอนนี้คุณไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ว่าระยะนี้หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ที่เย็นและมืด พักผ่อนให้มากก็พอ” อวิ๋นเจี่ยวเก็บเข็มทองเล่มสุดท้ายเสร็จ จึงพูดกำชับด้วยความเคยชิน
“ได้ๆ!” เจิ้งฮุ้ยรีบรับปาก พยักหน้าอย่างแรง
คณบดีหลินมองไปรอบด้าน พูดด้วยคิ้วที่ขมวด “เอ๊ะ ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลของพวกเรา”
“ที่นี่คือโรงพยาบาลสมอง” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย
“โรงพยาบาลสมอง?” เขาตกใจกับคำตอบนี้
“ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะถามขึ้นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “จริงสิ คณบดีหลิน คุณยังจำเรื่องก่อนหน้าที่จะสลบไปได้หรือไม่ คุณสลบไปได้อย่างไร”
“ก่อนสลบ? ไม่มีนะ…” คณบดีหลินส่ายหัว นึกย้อนไปอย่างละเอียด “ฉันถูกเรียกไปเมือง เอ อย่างกะทันหัน”
“เมือง เอ ?” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว “สะดวกบอกไหมว่าเรื่องอะไร”
“แค่ไปตรวจคนไข้” คณบดีหลินนึกบางอย่างขึ้นได้ พูดด้วยความขุ่นเคือง “คณบดีจางของโรงพยาบาลลี่เหอบอกว่า มีคนรู้จักในเมือง เอ ป่วยหนัก เขาไม่ว่างไปดู จึงขอร้องให้ผมช่วยไปดูให ห้! ผมเห็นแก่เพื่อนที่คบกันมาหลายสิบปีจึงตอบตกลง! ใครจะไปรู้ว่า…ตอนที่ไปถึงพบว่าไม่ได้มีเพียงผมคนเดียว ยังมีหมอของโรงพยาบาลชื่อดังอีกหลายแห่งอยู่”
เขายิ่งพูดยิ่งโกรธเคือง คิ้วราวกับจะผูกเป็นผม “ตอนแรกผมยังคิดว่าเป็นเพราะอาการซับซ้อนเกินไป จำเป็นต้องมีหมอหลายคนช่วยกัน สุดท้าย…พวกเขากลับปล่อยให้ผมพักในจวนนั้นอยู่ หนึ่งอาทิตย์ แม้แต่เงาของผู้ป่วยยังมองไม่เห็น จากนั้นบอกให้พวกเรากลับไปได้! คุณว่า..นี่มันเรื่องอะไรกัน ช่างเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรทางการแพทย์ สิ้นเปลืองเวลา”
“คุณจำได้ไหมว่าคนไข้ชื่ออะไร”
“เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ พวกเราไม่เห็นแม้แต่เงา!” คณบดีหลินส่ายหัว
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแล่นผ่านสมอง แต่เธอจับเอาไว้ไม่ได้ จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแค่กำชับเรื่องที่ต้องระวัง จากนั้นจึงกลับบ้านไป