ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 416 หัวหน้าหลินมาเยี่ยม
“ไม่มี!” ชายแก่ส่ายหัว ตนเองก็ประหลาดใจ ชาวสวนอิ้งส่งเขามาในดินแดนนี้ก็สูญเสียความทรงจำ เมื่อนึกย้อนชีวิตทางดินแดนนี้ เขาไม่เคยต้องลำบากอะไร โดยเฉพาะตอนเด็ก เขาแทบจะเป็น ผู้ที่มีโชคอันมีชื่อเสียงโด่งดัง ทำอันใดก็สำเร็จ ทำอันใดก็ได้ นอกจากมีความรู้สึกเหมือนมีภารกิจบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำแล้ว ก็แทบจะราบรื่นมาจนโต แม้แต่ลูกชายที่รับเลี้ยงม มาก็เจริญรุ่งเรือง
“ท่านคิดไม่ออกจริงๆ เหรอว่าคุณงามความดีหายไปได้อย่างไร”
ชายแก่ส่ายหัว
แปลกเสียจริง ดูท่าทางของชายแก่ นอกจากครั้งที่หาเรื่องเธอแล้ว คงไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรมาก่อน เช่นนั้นคุณงามความดีบนตัวเขาหายไปได้อย่างไร
เธอครุ่นคิดอย่างละเอียด ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ หันกลับไปพิสูจน์กับคนตรงหน้า “อาจารย์ปู่ คุณงามความดีสามารถแย่งชิงได้เหรอ”
“แย่งชิง!” เยี่ยยวนยังไม่ตอบ ชายแก่ตกใจขึ้นมาก่อน “เจ้าหนู เจ้าหมายความว่า…คุณงามความดีของข้าถูกคนแย่งไป?” คุณงามความดีสามารถแย่งชิงได้เหรอ
“นอกจากเรื่องนี้ ข้าคิดหาสาเหตุที่คุณงามความดีของท่านจะหายไปอย่างกะทันหันได้” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ตอนนั้นแม้แต่วิชาเวทย์อย่างเปลี่ยนดวงชะตายังถูกจางฝานผู้เป็นนักพรตเลี้ยงผี ใช้ออกมาได้ เช่นนั้นการคุณงามความดีก็ใช่ว่าจะไม่มี
“ปกติเป็นไปไม่ได้” เยี่ยยวนจับมือของอวิ๋นเจี่ยวเอาไว้ บีบเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “แต่หนทางแห่งสวรรค์ทางนี้…ก็ใช่ว่าจะไม่มี”
“เช่นนั้น…เช่นนั้นต้องทำอย่างไร เจ้าหนู?” ฟังจากน้ำเสียงของอาจารย์ปู่ คุณงามความดีของเขาถูกแย่งชิงไปจริงๆ!
ชายแก่มีแต่ความฉงน เวลาหนึ่งไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ พลังยังอยู่ แสดงว่าเขาไม่ต้องฝึกฝนตั้งแต่ต้น แต่ไม่อาจซึมซับพลังลมปราณได้ เขามีเพียงพลังก็ใช้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่ไม่อาจซึมซับพลังลมปราณได้เป็นเพราะคุณงามความดีหายไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงทำได้เพียงรักษาลักษณะในเวลานี้ กลับไปไม่ได้อีก?
“ย่อมต้องหากลับมา!” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว คุณงามความดีแตกต่างจากดวงชะตา ไม่อาจเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ง่าย แต่ถูกคนแย่งชิงไปอย่างไร้สาเหตุ ไม่มีทางไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย
ชายแก่เองก็รู้สึกขุ่นเคืองเช่นเดียวกัน หากไม่ใช่คุณงามความดีหายไป เขาเองก็ไม่ต้องทำข้อสอบติดต่อกันหลายวัน เมื่อรอเขารู้ว่าใครเป็นคนทำ ย่อมต้องให้อีกฝ่ายเห็นดี แต่สิ่งส สำคัญในตอนนี้คือ…
“พวกเราจะหาอย่างไร”
“…”
…
อวิ๋นเจี่ยวเองก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มหาคุณงามความดีที่หายไปนี้จากที่ใด อีกทั้งบนตัวของชายแก่ไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่องรอยวิชาเวทย์ที่หลงเหลือ ซึ่งก็เป็นสาเห หตุที่ทำให้อวิ๋นเจี่ยวไม่ทันสังเกตตั้งแต่แรก แม้แต่อาจารย์ปู่ก็ไม่อาจเห็นความผิดปกติบนตัวของชายแก่
ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะตามหาอย่างไรนั้น หลินเย่ว์จากสำนักงานจัดการพิเศษมาเยือน ในมือของเขาถือถุงเอาไว้มากมาย ยิ้มด้วยใบหน้าเปล่งบาน
อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ต่างตกใจ เมื่อนึกถึงอาจารย์ปู่ที่อยู่ในลักษณะกึ่งคนกึ่งงูภายในห้อง กำลังคิดจะปิดประตู คนบางคนที่กำลังทำขนมอยู่ในห้องครัวชะโงกหน้าออกมาดูเอง
พวกเขาไม่ทันได้ห้าม อีกฝ่ายก็เลื้อยออกมาจากห้องครัวแล้ว อีกทั้งยังรับถุงจากมือของหลินเย่ว์มา ถามด้วยความอยากรู้ “นี่คือสิ่งใด”
ทั้งสองคนรู้สึกใจหล่นวูบ เหมือนกำลังจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ใหญ่ แต่พบว่าหลินเย่ว์เหมือนจะมองไม่เห็นหางงูขนาดใหญ่ของอาจารย์ปู่ เขายังคงอธิบายอย่างดีใจ “นี่คือชีสเค้กชื่อดัง งของร้าน ‘สือจี้’ ตอนมาผมผ่านร้านพอดี เลยนำมาให้อาจารย์อวิ๋น”
เยี่ยยวนหรี่ตาลงมองถุงในมือ ก่อนจะส่งสายตาให้อีกฝ่าย เป็นชายแก่ที่ทำตัวดี
เมื่อเห็นว่าเขามีความสนใจ หลินเย่ว์จึงรีบเสริมขึ้น “เพิ่งออกมาจากเตา ยังร้อนอยู่! ไม่รู้ว่าพวกคุณจะชอบหรือ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นคนตรงหน้าใช้มือทั้งสองดึงถุงออกอย่างไม่ลังเล หยิบเค้กชิ้นเล็กออกมา กัดลงไปหนึ่งคำต่อหน้าอีกฝ่าย
ทันทีที่ขบเคี้ยวลงไป คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น หันหลังคายลงไปยังถังขยะด้านข้างทันที
“ยากที่จะกลืนกิน!”
สายตาที่ชื่นชมหายไป สีหน้าเย็นชามากยิ่งขึ้น
หลินเย่ว์ที่ถูกรังเกียจ “…”
ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เยี่ยยวนก็ยัดถุงกลับไปในมือของอีกฝ่าย จากนั้นหันไปจ้องมองอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง ตาไม่กะพริบ…
อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุกเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาทีหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “รู้แล้ว เดี๋ยวทำขนมเค้กให้”
อีกฝ่ายดวงตาลุกวาว ก่อนจะเลื้อยกลับไปยังห้องครัว อบขนมของตนเองต่อ อืม เตาหลอมยาใหม่ (เตาอบ) ของศิษย์หลานใช้ไม่ดีเท่าแต่ก่อน
“อา…อาจารย์อวิ๋น?” หลินเย่ว์มองประตูห้องครัวที่ปิดลง ก่อนจะมองอวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ สีหน้าฉงน ใครกันเนี่ย
“ขอโทษที เขาอาจไม่ชินกับรสชาติของชีส” อวิ๋นเจี่ยวทำหน้าระอา ก่อนจะรีบอธิบาย
“อ่อ...” หลินเย่ว์ถึงได้ตั้งสติกลับมาได้ เขาเดินตามคนทั้งสองเข้าบ้าน ก่อนจะถามขึ้น “ท่านเมื่อสักครู่คือ…” ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอ
ทั้งสองคนครุ่นคิด ก่อนจะหาคำตอบที่เป็นกลางที่สุด “ผู้ใหญ่ในบ้าน”
“…” เอ๊ะ! ผู้ใหญ่ที่เด็กขนาดนี้เหรอ
“วันนี้หัวหน้าหลินมากะทันหัน มีเรื่องอะไรคะ” อวิ๋นเจี่ยวเบี่ยงเบนประเด็น เมื่อครุ่นคิดว่าเมื่อกี้หลินเย่ว์ไม่ได้ตกใจกับอาจารย์ปู่ที่ตัวเป็นคนหางเป็นงู คงเป็นเพราะว่าอาจารย์ ปู่วางม่านลวงตาอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้
“อ่อ จริงสิ!” หลินเย่ว์ถึงได้นึกถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ “ผมมาครั้งนี้ เพราะเรื่องของคณบดีหลินที่คุณเคยบอกผมครั้งก่อน” พูดจบ เขาก็รีบหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากภายใน นถุง
“นี่คืออะไร” อวิ๋นเจี่ยวรับมา พลางเปิดออกพลางถาม
“ผมไปสืบปลายทางที่เขาไปรักษาคนไข้ รวมไปถึงคนที่ไปในวันนั้น” สีหน้าของหลินเย่ว์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที “คณบดีหลินพูดไม่ผิด คนที่ไปรักษาคนไข้ในวันนั้นล้วนเป็นคณบดีของโรงพยาบ บาลใหญ่ อีกทั้งยังมีหมอที่มีชื่อเสียงหลายคน แต่ตั้งแต่กลับมา พวกเขาต่างล้มป่วยลงอย่างไม่มีข้อยกเว้น ถึงแม้จะไม่สาหัสเท่าคณบดีหลิน แต่ก็ล้วนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลระยะห หนึ่ง นี่คือภาพถ่ายที่ผมถ่ายเอาไว้ตอนสืบเรื่อง”
อวิ๋นเจี่ยวพลิกดูรูปเหล่านี้ คนด้านในล้วนแล้วแต่มีอายุระหว่างสามสิบกว่าถึงสี่สิบกว่า มีจำนวนไม่น้อยที่คุ้นหน้า แต่ก่อนเคยพบหน้าในงานแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ ภายในภาพถ่าย อาจมองไม่ออกว่ามีอาการป่วย แต่จากใบหน้าของพวกเขา สามารถมองเห็นได้ว่ามีร่องรอยการสูญเสียพลังชีวิต
“พวกเขาไปที่ใด”
“ผมมาวันนี้ก็เพราะอยากจะพูดเรื่องนี้กับอาจารย์อวิ๋น!” เขาขมวดคิ้ว ราวกับคิดไม่ตก “สถานที่ที่พวกเขาไปนั้น คือจวนบานแห่งหนึ่งในชานเมืองของเมือง เอ ก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนมื อหลายครั้ง แต่เดิมเป็นของใครไม่อาจสืบได้แน่ชัด แต่คนที่รับมือในระยะนี้คือ…ตระกูลจาง! ตระกูลจางแห่งลัทธิเต๋า!”