ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 417 ยากต่อการเดินทางไกล
“เจ้าหนู ทำอย่างไรดี” เมื่อส่งหลินเย่ว์จากไปแล้ว ชายแก่หันไปถามอวิ๋นเจี่ยวด้วยความเคยชิน
อวิ๋นเจี่ยววางแก้วในมือลง ก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลจาง ดูท่าทางหัวหน้าหลินไม่กล้าจะสืบต่อไปแล้ว” ถึงคิดจะสืบก็คงสืบไม่ได้อะไร
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ตระกูลจางเป็นคนกระทำ หรือคนด้านล่างแอบกระทำ สิ่งที่พวกเขาทำคืออะไร!” ชายแก่ขมวดคิ้ว ตระกูลจางและตระกูลเผยล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลอาวุโส สในลัทธิเต๋า ถึงแม้สำนักงานจัดการพิเศษจะเป็นองค์กรทางการ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเช่นนี้ก็คงต้องมีข้อกังวลมากมาย “เจ้าหนู เจ้าว่าเรื่องนี้ พวกเราต้องบอกนายท่านจางหรือไ ไม่”
“เหมือนกัน” อวิ๋นเจี่ยวมองชายแก่ ก่อนจะวิเคราะห์ “ท่านคิดว่านายท่านตระกูลจางจะไม่รู้เรื่องนี้หรือ”
“ฮะ?” ชายแก่ตะลึง “ตระกูลจางรู้!”
“ก่อนหน้านี้มีจางฝาน ต่อมาก็เกิดเรื่องของคณบดีหลิน หากจะบอกว่าตระกูลจางไม่รู้เรื่องเหล่านี้ คงจะทำให้คนเชื่อได้ยาก” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น “เรื่อ องนี้มีเพียงความเป็นไปได้สองอย่าง ถึงแม้ว่าผู้กุมอำนาจตระกูลจางไม่รู้ แต่คนด้านล่างพวกเขาก่อเรื่องมากมายเพียงนี้ แสดงให้เห็นถึงภายในของพวกเขาเกิดปัญหาอย่างรุนแรง แม้แต่นายท่าน ตระกูลจางก็คุมไว้ไม่อยู่”
“หากรู้…” ชายแก่สีหน้าดำลง
“ยิ่งแย่!” อวิ๋นเจี่ยวมองเขา “เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของพวกเขา”
ชายแก่เองก็คิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาแย่ลงกว่าเดิม “ตระกูลจางคิดอะไรอยู่กันแน่”
“ข้าไม่กังวลตระกูลจาง หากแต่เป็น…” เธอขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด กวาดตามองไปยังชายแก่อย่างมีนัยยะ
“เหตุใดเจ้ามองข้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่…เอ๊ะ? เจ้าไปไหน”
เขายังพูดไม่จบ อวิ๋นเจี่ยวก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปภายในห้อง “หยิบบัตรประชาชน จองตั๋วเครื่องบินไปเมือง เอ!”
“ฮะ!” ชายแก่ตะลึง “ไปเมืองเอ เจ้าจะไปหาตระกูลจางหรือ ไม่ดีกระมัง หากพวกเขามีแผนการอะไร…”
“ไม่เป็นไร” อวิ๋นเจี่ยวหันกลับมามองเขา “จากระดับวิชาเวทบนดินแดนนี้ ถึงแม้จะมีแผนการ พวกเราก็สามารถรับมือได้!” แทนที่จะเดาไปเดามา สู้ถามให้แน่ชัดไปเลยเสียดีกว่า ต่อหน้ากำลังท ที่แข็งแกร่ง แผนการชั่วร้ายก็เป็นเพียงเสือกระดาษ “ไปก่อนค่อยว่ากัน”
“ไม่ใช่…” ชายแก่ยังคงลังเล ถามขึ้น “ไปเมืองเอ ไม่มีปัญหา แต่…อาจารย์ปู่ทำอย่างไร” เขานั่งเครื่องบินได้?
อวิ๋นเจี่ยวชะงักไป ก่อนจะหันกลับไปมองคนบางคนที่กำลังถือถาดเลื้อยออกมาจากห้องครัว เฮ้ย เกือบลืม ในบ้านยังมีคนผิดกฎหมายอยู่หนึ่งคน จะออกจากบ้านได้อย่างถูกกฎหมายอย่างไรกลาย ยเป็นปัญหา
“หรือไม่ ให้อาจารย์ปู่กลายร่างเป็นงูเหมือนเดิม?” แสร้งเป็นกำไรแอบข้ามด่านไป
“สัตว์เลี้ยงพกขึ้นเครื่องบินไม่ได้!” ชายแก่แย้ง อีกทั้งยังเป็นงู
“บ้านท่านมีเครื่องบินส่วนตัวไม่ใช่หรือ ส่งพวกเราไปไม่ได้?”
“เครื่องบินส่วนตัวก็ต้องผ่านด่านตรวจ!” อีกทั้งยังต้องยื่นขอเส้นทางบินก่อน!
“…”
“…”
ทั้งสองคนต่างเงียบไป ทันใดนั้นภายในห้องมีเพียงเสียงเคี้ยวขนมของคนบางคน
เยี่ยยวนพลางกินขนมพลางหยิบขนมอีกครึ่งหนึ่งใส่จาน ผลักมาไว้ข้างหน้าเธอ “ของเจ้า”
“…” อวิ๋นเจี่ยวมองขนม ก่อนจะมองอีกฝ่าย คำพูดที่จะให้เขาอยู่บ้านกลืนลงคอไปอีกครั้ง “ช่างเถอะ ใช้ค่ายกลขนส่งแล้วกัน” ก็แค่สร้างการคมนาคมเองไม่ใช่หรือ พวกเธอใช่ว่าจะไม่เคยท ทำมาก่อน อย่างมากตอนที่ขนส่งเพิ่มค่ายกลซ่อนพลังอีกเสียหลายชั้น ไม่ให้คนอื่นจับได้ก็พอ
อวิ๋นเจี่ยวลงมือวางค่ายกลในห้องรับแขกทันที เนื่องจากพลังลมปราณในดินแดนนี้มีไม่เพียงพอ อีกทั้งหลายวันนี้เธอวางค่ายกลรวมพลังลมปราณสองครั้งติดต่อกัน จึงทำให้พลังลมปราณรอบด้าน นแทบจะหมดลงแล้ว ดังนั้นค่ายกลนี้จึงวางขึ้นมาได้ไม่ง่ายดายนัก อีกทั้งอวิ๋นเจี่ยวยังต้องใช้พลังลมปราณของตนเองร่วมด้วยถึงจะทำให้ขนส่งได้สามคน
อวิ๋นเจี่ยวเตรียมยันต์ป้องกันไว้หลายใบ แจกจ่ายคนละใบ ก่อนจะพูดด้วยความเคยชิน “พกยันต์ป้องกันเอาไว้ด้วย เผื่อฉุกเฉิน”
“อ่อ” ชายแก่รับไปทันที
อวิ๋นเจี่ยวคิดจะยื่นให้อาจารย์ปู่หนึ่งใบ แต่พบว่าเขาร่ายคาถา รอบตัวประกายแสงสีขาว ทันใดนั้นเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ลักษณะของกึ่งคนกึ่งงูหายไป กลายเป็นชุดยาวสีขาวคุ้นเคย แม้แต ต่ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็น…ใบหน้าของจี้เฉิน
ชายแก่ “…”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ถึงแม้ลักษณะนี้จะดีกว่ากึ่งคนกึ่งงู แต่… อาจารย์ปู่คิดว่าใบหน้าของบุตรชายของราชามารเป็นใบหน้าสำรองในตอนออกเดินทางหรือ เมื่อถึงคราวต้องออกเดินทางก็เปลี่ยน
อวิ๋นเจี่ยวทำหน้าระอา แต่ทำได้เพียงพูดเตือนให้อาจารย์ปู่เปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ก่อนจะเปิดค่ายกลขนส่งขึ้น
แทบจะชั่วพริบตา ทั้งสามคนรู้สึกเพียงแสงของค่ายกลตรงหน้าประกายขึ้น นาทีถัดมาก็มาปรากฏบนพื้นหญ้าสีเขียวแห่งหนึ่ง ด้านหน้าคือบ้านที่คุ้นตาอย่างยิ่ง
ภายในสวนมีชาวสวนกำลังตัดหญ้า เมื่อเห็นคนที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันก็ตกใจ แม้แต่เครื่องตัดหญ้าก็เอนเอียงจมลงไปในโคลน
“พวก…พวกคุณเป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร!” ชาวสวนที่กำลังตัดหญ้าวิ่งไปหารปภ.ที่อยู่ทางไกล พลางตะโกน “รปภ.! รปภ. อยู่ไหน!”
“เอ๊ะ?” ชายแก่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที มองไปรอบด้าน “เจ้าหนู เจ้าบอกว่าไปตระกูลจางไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาตระกูลเผยได้!”
“ย่อมต้องมาสืบเรื่องบางอย่างก่อน” อวิ๋นเจี่ยวตอบ ก่อนจะพูดกับคนในสวน “สวัสดีค่ะ พวกเรามาหานายท่านตระกูลเผย เขาอยู่ใช่ไหม”
คนทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ราวกับยังคงตกอยู่ในความตะลึงที่อีกฝ่ายปรากฏตัวอย่างกะทันหัน แต่ทันใดนั้นมีเสียงดีใจดังขึ้น “อาจารย์อวิ๋น! คุณมาได้อย่างไรครับ”
คนทั้งหลายหันหน้าไป พบแต่เพียงเผยหย่วนหลานชายของเผยซื่อจงเดินมาจากทางด้านหลัง เขาเองก็เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เดินสาวเท้าเข้ามาหาคนทั้งสามด้วยใบหน้าดีใจ “ทำไมไม่บอกก่อนครับ พวกเราจะได้ไปรับ”
“มีธุระด่วนนิดหน่อย จึงใช้ค่ายกลขนส่งข้ามมา” อวิ๋นเจี่ยวตอบ ก่อนจะมองไปยังพื้นหญ้าที่ยืนอยู่เมื่อสักครู่ เนื่องจากผลกระทบจากพลังลมปราณ พื้นหญ้าปรากฏรอยเผาไหม้ของค่ายกล ดังน นั้นจึงพูดเสริมขึ้น “ขอโทษที ทำให้สนามหญ้าบ้านคุณพัง เขาจะชดใช้ให้คุณ!” พูดจบก็ชี้ไปยังไป๋อวี้ อย่างไรลูกชายเขาก็มีเงิน
ชายแก่ที่มีเงิน “…”
เผยหย่วนมองไปยังรอยดำไหม้บนพื้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าค่ายกลขนส่งที่เธอพูดถึงคืออะไร แต่ฟังชื่อก็พอจะรู้ว่าเป็นวิชาเวทประเภทหนึ่ง ดังนั้นจึงยิ้มอย่างเกรงใจ “อาจารย์อวิ๋นไม ม่ต้องเกรงใจ คุณมาเยือนตระกูลเผยเป็นเกียรติของพวกเรา ผมไปแจ้งคุณปู่ก่อน พวกคุณเชิญเข้ามา!”
พูดจบ เขาก็นำทุกคนเข้าประตูใหญ่ พลางให้คนไปเรียกนายท่าน พลางกำชับคนสวนด้านนอกอย่าได้เผยแพร่ข่าวออกไป โชคดีที่คนที่ทำงานในจวนแห่งนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า จึงไม่พูดจาเหลวไหล