ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 420 การข่มขู่เล็กน้อย
“ไม่…” ความตระหนกในดวงตาของเผยซื่อจงยิ่งมากขึ้น ราวกับต้องการอธิบายบางอย่าง
“คุณรู้ว่าเป้าหมายของพวกเขาคืออะไรตั้งแต่แรก อีกทั้งเรื่องนี้ ตระกูลเผยก็อนุญาต อีกทั้งเห็นชอบด้วย” อวิ๋นเจี่ยวมองตรงไปยังคนทั้งสอง พูดขึ้น”หรือยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่การตัดสินใจของตระกูลจางเพียงคนเดียว แต่มันคือแผนการที่พวกคุณวางร่วมกัน”
“คุณ…”
เผยซื่อจงมองเธอด้วยความเหลือเชื่อ ร่างกายของเขาสั่นเทา สีหน้าซีดเผือด ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ล้มนั่งลงบนโซฟา สักพักเหมือนถอดหน้ากากบางอย่างออก คนทั้งคนห่อเหี่ยวลงไป สักพักถอนหายใจยาวออกมา พูดขึ้น “ในเมื่อพวกคุณรู้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้อีก”
เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ “คุณพูดไม่ผิด! สิ่งที่ตระกูลจางทำ พวกเรา…รู้ตั้งแต่แรก!”
เป็นเช่นนี้จริงด้วย! อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว ชายแก่ที่อยู่ด้านข้างชี้ไปยังคนทั้งสองอย่างเหลือเชื่อ “เฮ้ย! พวกคุณเป็นพวกเดียวกับตระกูลจาง! หมอพวกนั้นก็เป็นฝีมือพวกคุณ?”
“ไม่ๆๆ…” เผยซื่อจงรีบส่ายหัวปฏิเสธ “รู้ส่วนรู้ แต่ขอให้เชื่อว่าเรื่องนี้ตระกูลเผยไม่มีส่วนร่วม! พวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกฝนทางเต๋า ย่อมรู้ว่าการแย่งชิงคุณงามความดีของคนอื่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่ตระกูลจางมีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้”
“มีความจำเป็น?” ชายแก่ขุ่นเคืองอย่างมาก พูดขึ้น “ขโมยของคนอื่น ยังบอกว่าจำเป็น พวกคุณกล้าพูดได้อย่างไร”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” บนใบหน้าของเผยซื่อจงเผยให้เห็นความละอาย เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง” การฝึกฝนทางเต๋า เดิมทีก็เป็นการพึ่งพาคุณงามความดี อีกทั้งพวกคุณก็รู้ สังคมในสมัยนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อเรื่องเหล่านี้แล้ว ดังนั้นคนที่ศึกษาทางเต๋าจึงมีน้อยลงทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ได้บรรลุ แค่โลกนี้ขาดพวกเราไปไม่ได้ มิเช่นนั้นใครจะเป็นคนรับมือกับภูติผีปีศาจเหล่านั้น”
“ดังนั้น พวกคุณจึงแย่งชิงคุณงามความดีบนตัวของคนอื่น?” ตนเองไม่มีจึงแย่งชิงของคนอื่น เหตุผลอะไรกัน
“ตอนแรก พวกเราคิดค้นวิธีนี้ขึ้นมา เพื่อสืบทอดวิชาเต๋าต่อไปเท่านั้น อาจารย์อวิ๋นก็เป็นผู้ฝึกฝนทางเต๋า ย่อมต้องเข้าใจเจตนาการสืบทอดของพวกเรา” เผยซื่อจงราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาส่ายหัว “แต่ว่าคนมักไม่พึงพอใจกับสิ่งที่มี เมื่อวิธีนี้เผยแพร่ออกไป พวกเราก็เริ่มควบคุมไม่ได้…อย่างช้าๆ” หากได้รับพลังที่แข็งแกร่ง ใครจะสนใจเป้าหมายในตอนแรก “แต่ว่าพวกคุณวางใจ การแย่งชิงคุณงามความดีของคนอื่นเพื่อพัฒนาพลังของตนเอง ตระกูลเผยไม่เคยทำมาก่อนอย่างแน่นอน”
“อย่างนั้นเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวหรี่ตาลง จ้องมองไปยังเผยซื่อจง พูดขึ้น “อย่างนั้นคุณงามความดีบนตัวคุณมาจากไหนกัน”
เผยซื่อจง “…”
เผยหย่วน “…”
ภายในห้องเงียบสงัด เผยซื่อจงและเผยหย่วนต่างผงะไป ภายในดวงตาฉายแววตื่นตระหนก
“เอ๊ะ?” ชายแก่ที่อยู่ด้านข้างมองไปยังคนทั้งสอง อีกทั้งถามออกมาอย่างไร้เดียงสา “คุณงามความดีบนตัวเขามีเยอะมากเหรอ
“…” ครานี้ถึงคราวอวิ๋นเจี่ยวระอา แม้แต่เยี่ยยวนที่ทำตัวสบายดุจดั่งมาเที่ยวเล่นก็มองเขาด้วยสายตาดูถูก
โง่ตายไปเลย!
อวิ๋นเจี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดต่อ “แย่งชิงของคนอื่นก็คือแย่งชิง! แย่งหนึ่งครั้งกับแย่งหลายครั้งมีความแตกต่างเหรอ นายท่านเผย ฉันไม่สนใจว่าพวกคุณจะคิดค้นวิธีการแย่งชิงคุณงามความดีคนอื่นเพื่ออะไร แต่คนที่ฝึกฝนทางเต๋าจริงไม่ควรทำแบบนี้ หากการสืบทอดทางเต๋าต้องอาศัยการแย่งชิงคุณงามความดีของคนอื่นในการสืบทอด เช่นนี้ลัทธิเต๋ายังมีความจำเป็นต้องมีอยู่เหรอ”
“แต่…” เผยซื่อจงราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“ใช่ โลกนี้ไม่มีเต๋าไม่ได้ มิเช่นนั้นภูติผีปีศาจไม่มีคนจัดการ แต่ฉันไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคุณ อะไรคือความจำเป็นในการทำเพื่อเต๋า ล้วนแล้วแต่เป็นข้ออ้าง มีเป้าหมายไหนที่เลือกทำร้ายคนเพื่อช่วยคน มันจะแตกต่างอะไรจากการแทงคนอื่นก่อนค่อยนำส่งโรงพยาบาล” หรือว่าคนที่มีคุณงามความดีสมควรถูกทำร้ายเหรอ “หากคนที่มีคุณงามความดีกลายเป็นความผิด สิ่งที่พวกคุณทำแตกต่างอะไรจากภูติผีปีศาจ”
“…” เผยซื่อจงพูดไม่ออก
“ฉันมาวันนี้ ไม่ได้มาหาเรื่องพวกคุณ แต่เพื่อตักเตือนพวกคุณ รวมไปถึงทุกคนในเต๋า หรือแม้แต่คนที่ได้กระทำการเลวทรามนี้ไปแล้ว” เสียงของอวิ๋นเจี่ยวทุ้มลง ก่อนจะพูดต่อ “รบกวนคุณบอกตระกูลจาง สิ่งของที่แย่งมาต้องคืนสักวันหนึ่ง หากพวกเขาคิดจะเบี้ยว ฉันจะไปเอาคืนที่ตระกูลจางด้วยตัวเอง!”
“…”
“แน่นอน พวกคุณสามารถเพิกเฉยต่อคำเตือนของฉัน” ดวงตาของอวิ๋นเจี่ยวหรี่ลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมกว่าเดิม “พวกคุณก็ลองดูว่าฉันมีความสามารถนี้หรือไม่!”
พูดจบ เธอผนึกด้วยสองมือ โบกมือขึ้น นาทีถัดมาเห็นเพียงแต่แสงสีขาวประกายขึ้น ค่ายกลสีทองปรากฏขึ้น พร้อมลอยขึ้นไปด้านบนภายในห้องรับแขก นาทีถัดมาด้านนอกมืดลงได้ยินแต่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สายฟ้าสีขาวทั่วฟ้าฟาดลงมายังจวนหลักของตระกูลเผย
ทันใดนั้นเห็นเพียงแต่ฝุ่นควันคละคลุ้ง คฤหาสน์หรูหราโอ่อ่าพังทลายลงทันที กำแพงล้มลงไปทีละแผ่นราวกับโดมิโน่ นอกจากใจกลางของห้องรับแขกที่ทั้งห้าคนยืนอยู่นั้น คฤหาสน์นับพันตารางเมตรนี้ถูกฟ้าผ่าจนแหลกละเอียด แต่คนที่อยู่ตรงกลางทั้งห้าไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แม้แต่บนโซฟาก็ไร้ร่องรอยของฝุ่น คนอื่นที่ทำงานอยู่ในบริเวณอื่นของบ้านก็ไม่ได้ถูกหล่นทับแต่อย่างใด
“…”
เผยซื่อจงและเผยหย่วนตกตะลึง มองไปรอบด้านอย่างเหลือเชื่อ ยังตั้งสติจากสายฟ้าเมื่อสักครู่ไม่ได้ พวกเขาไม่เคยเห็นใครเรียกสายฟ้าด้วยมือเปล่าได้มากมายขนาดนี้ถึงแม้จะรู้ว่าพลังของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าตนเองแต่ไม่เคยคิดว่าจะน่ากลัวมากขนาดนี้ มันช่าง…ไม่ใช่คน!
“เวลาสามวัน พวกคุณลองคิดดูให้ดี!” อวิ๋นเจี่ยวกำชับอีกครั้ง ก่อนจะดึงอาจารย์ปูด้านข้างขึ้นมาทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก
เดินไปเพียงสองก้าว ก็หยุดลงข้างเผยหย่วน
เผยหย่วนผงะ เงยหน้าด้วยความหวาดกลัวและฉงน
“ไม่ได้บอกว่าลูกชายป่วยเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวเตือน “ยังไม่พาฉันไปดู!” อาการของเด็กก็ยังต้องดู
“อา…” เผยหย่วนผงะ สักพักถึงได้เข้าใจ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความดีใจ “ใช่ๆ เสี่ยวเฟิง! เขาอยู่ป่าไผ่ด้านหลังของจวน ผมพาพวกคุณไป…”
พูดจบเขารีบลุกขึ้นมา ไม่สนใจนายท่านตระกูลเผยที่ยังไม่ได้สติ ก่อนจะรีบพาทุกคนไปด้านหลัง
เป็นพ่อที่ดี!
อวิ๋นเจี่ยวมองคนตรงหน้า ยังคงแสดงท่าทีเคร่งขรึม เดินตามขึ้นไป สายตามองขึ้นด้านบนอย่างไม่ตั้งใจ บนใบหน้านิ่งงัน แต่ภายในใจเต็มไปด้วยคำถาม
จะว่าไป…สายฟ้าเมื่อครู่คืออะไรกัน
เธอไม่ได้ใช้วิชาเวทย์นำสายฟ้าเสียหน่อย?!