ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 425 จุดเริ่มต้นแห่งการฝึกฝน
อาจารย์ปู่บอกว่าหนทางแห่งสวรรค์ของดินแดนนี้ได้รับบาดเจ็บที่ไม่อาจรักษาตัวเองได้ ดังนั้นจึงต้องมาขอร้องเขาผู้เป็นผู้สร้างดินแดน ต้องการยืมพลังของเขา ซ่อมแซมหนทางแห่งสวรรค์ อีกครั้ง
แต่การซ่อมแซมหนทางแห่งสวรรค์ต้องใช้พลังแห่งต้นกำเนิด ส่วนต้นกำเนิดของดินแดนเป็นพลังของผู้สร้างแต่เพียงเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ปกติไม่ตอบรับผู้อื่น แต่ในขณะที่หนทางแห่งสวรรค์ เรียกพ่อนั้น ต้นกำเนิดของดินแดนทางนี้เกิดความสัมพันธ์กับเยี่ยยวนขึ้นมาอย่างไร้จรรยาบรรณ
ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยว แต่ก็เพียงพอที่จะให้เขาใช้โอกาสนี้ปรับปรุงหนทางแห่งสวรรค์ แต่ต้นกำเนิดแตกต่างจากหนทางแห่งสวรรค์ ถึงแม้หนทางแห่งสวรรค์จะเป็นตัวแทนแห่งกฎเกณฑ์ แต่ ก็มีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเอง เหมือนดั่งซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีระบบอันชาญฉลาด สามารถตัดสินเรื่องราวที่ขัดขืนต่อกฎระเบียบได้อย่างเที่ยงธรรมและได้ผลอย่างเป็นที่สุด มั นไม่มีอารมณ์และความชอบส่วนตัว ย่อมไม่มีจรรยาบรรณหรือความละอาย ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงยอมเรียกพ่ออย่างไม่ลังเล
แตกต่างจากต้นกำเนิด ต้นกำเนิดเป็นเพียงพลังพื้นฐานแห่งการมีอยู่ของดินแดน ถึงแม้จะประคองการหมุนเวียนของดินแดน แต่ไม่มีความคิด ทำได้เพียงขับเคลื่อนไปตามการชักนำของผู้สร้าง
ถึงแม้อาจารย์ปู่ซ่อมแซมหนทางแห่งสวรรค์ต้องใช้พลังแห่งต้นกำเนิดเพียงส่วนน้อย แต่เมื่อซ่อมแซมสำเร็จ ต้นกำเนิดของทั้งดินแดนจะกลายเป็นของเยี่ยยวน ดังนั้นอาจารย์ปู่จึงบอกว่าดินแดน แห่งนี้จะรับเขาเป็นนาย
ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกละอายต่อการกระทำของดินแดนตัวเองที่ยอมทำทุกอย่าง ไขว่คว้าทุกโอกาสแม้แต่การเรียกพ่อเพื่อช่วยเหลือตนเอง
แต่อวิ๋นเจี่ยวยังไม่เข้าใจ การสูญเสียของหนทางแห่งสวรรค์คืออะไร หนทางแห่งสวรรค์ไม่มีทางพังตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรต้องมีสาเหตุ
เดิมทีเธอคิดจะถามสถานการณ์อย่างละเอียดกับอาจารย์ปู่ แต่ไม่คิดว่ามีคนเดินเข้ามาอธิบายความสงสัยต่อเธอก่อน
“นายท่านเผย?” มองปู่กับหลานที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าประตู อวิ๋นเจี่ยวผงะเล็กน้อย ก่อนจะตระหนักขึ้นได้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเวลาที่เธอให้ตระกูลเผยเอาไว้ ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่ค คิดเรื่องของหนทางแห่งสวรรค์ ทำให้ลืมเรื่องนี้ไป
“อาจารย์อวิ๋น” เผยซื่อจงเผยยิ้มขมขื่นให้เธอ
“เข้ามาเถอะ” อวิ๋นเจี่ยวหลบออกไปด้านข้างหนึ่งก้าวเพื่อให้ทั้งสองคนเดินเข้าบ้าน จากนั้นมองไปยังด้านหลังของพวกเขา ทันใดนั้นคิ้วขมวดขึ้น “พวกคุณมาแค่สองคนเหรอ” คนที่สมควรมา าที่สุดคือตระกูลจางไม่ใช่เหรอ
คนทั้งสองที่กำลังจะเดินเข้าด้านในเผยสีหน้าลำบากใจยิ่งขึ้น พวกเขาสบตากัน ก่อนจะตอบ “พวกเราบอกต่อถึงความต้องการของอาจารย์อวิ๋นแล้ว เพียงแต่…”
“เพียงแต่พวกเขาไม่รู้สึกว่าการแย่งชิงคุณงามความดีของคนอื่นมีปัญหาอะไร” อวิ๋นเจี่ยวอดหรี่ตาลง ไม่ได้ แต่ไม่อยากทำให้พวกเขาลำบากใจไปมากกว่านี้ เธอเชิญพวกเขาเข้าบ้านก่อน “นั่งเถ ถอะ”
ทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟาด้วยความกระสับกระส่าย ในขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า แต่มีลักษณะงดงามถือจานผลไม้ออกมา ชายหนุ่มเหลือบมองพวกเขา ไม่ได้หยุดชะง งัก แต่เดินตรงมายังพวกเขา
เผยซื่อจงรีบโบกมือด้วยความเกรงใจ “อาจารย์อวิ๋น ไม่ต้องเกรง...”
พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายหยุดชะงัก ก่อนจะนั่งลงด้านข้างอวิ๋นเจี่ยว วางจานผลไม้ไว้บนขาของตนเอง หยิบซ่อมเล็กจิ้มลงไปยังเนื้อผลไม้ขึ้นมากินต่อหน้าพวกเขาอย่างกับไร้ผู้คนอยู่ รอบข้าง อีกทั้งยังยื่นให้อวิ๋นเจี่ยวในบางครั้ง
เผยซื่อจงที่คิดว่าเขายกออกมารับแขก “…”
“พูดเถอะ! พวกคุณคิดจะทำอย่างไร” อวิ๋นเจี่ยวถามขึ้นทันที พูดจบยังหันไปเตือนคนข้างตัว “ส้มอย่ากินเยอะ ร้อนใน!”
“อืม” คนที่กำลังจะปลอกส้มชะงักมือไป ก่อนจะหยิบซ่อมจิ้มแตงโม เมล่อน แอปเปิล แก้วมังกรที่หั่นเป็นชิ้นเล็กกินต่อ…
ปู่หลานตระกูลเผยชะงักไป มองสลับไปมาระหว่างสองคนที่อยู่ตรงข้าม ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง สักพักเผยหย่วนพูดขึ้น “อาจารย์อวิ๋น ทำไมไม่เห็นยายอวี้”
“อ่อ เขาทำการบ้านอยู่ห้องด้านข้าง!”
“…” การบ้าน? อะไรกัน!
“พวกคุณมีอะไรก็พูดมาเถอะ” อวิ๋นเจี่ยวพูด “เขาไม่อยู่ที่นี่ พวกคุณพูดได้สะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ”
ทั้งสองคนผงะไปอีกครั้ง บนใบหน้าเผยให้เห็นความละอาย สักพักพวกเขาพยักหน้าพร้อมพูดขึ้น “สำหรับเรื่อง การแย่งชิงคุณงามความดีของคนอื่น พวกเรา…เคยมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้จริง!” เผ ผยหย่วน ถอนหายใจออกมา หลับตาลงราวกับปล่อยวางภาระบางอย่าง ก่อนจะยอมรับ “ไม่ว่าผม หรือว่าคุณปู่ หรือแม้กระทั่งคนที่ฝึกฝนทางเต๋าในตระกูลเผย ล้วนเคย…แย่งชิงคุณงามความดีของคนอ อื่นในตอนเริ่มการฝึกฝน กินยาเปิดพลัง แต่ก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!”
“ยาเปิดพลัง?!” อวิ๋นเจี่ยวถามด้วยความฉงน “ยาเปิดพลังอะไร”
“เอ๊ะ?” ปู่หลานตระกูลเผยผงะ ก่อนจะพูดขึ้นมา “ย่อมต้องเป็นยาวิเศษที่ใช้สำหรับเปิดพรสวรรค์ด้านการฝึกฝนทางเต๋า ชักนำให้คนสามารถสื่อสารกับพลังฟ้าดินได้!”
“เปิดพรสวรรค์ด้านการฝึกฝนทางเต๋า?!” อวิ๋นเจี่ยวตะลึงมากกว่าเดิม พรสวรรค์ด้านการฝึกฝนต้องเปิดด้วยเหรอ ทำไมเธอถึงไม่รู้ “เดี๋ยวก่อน พวกคุณหมายความว่า…ก่อนที่พวกคุณจะเริ่มต้นฝึ กฝนวิชาเวท ต้องกินยาเปิดพลังนั้นก่อน?”
“ปกติก็เป็นเช่นนั้น!” ปู่หลานตระกูลเผยพยักหน้า ราวกับไม่เข้าใจ เหตุใดเรื่องง่ายเช่นนี้ยังมีข้อสงสัย “มีปัญหาอะไรเหรอ”
“มีปัญหาแน่ พวกคุณฝึกฝนไม่ได้ใช้…” เธอพูดไปเพียงครึ่งเดียว ก่อนจะตระหนักได้ถึงปัญหายิ่งรุนแรงมากขึ้นมา ตอนนั้นที่เธอทะลุมิติไปยังดินแดนของอาจารย์ปู่ เธอยังไม่มีเส้นชีพจรเ เสวียน! ชายแก่บอกว่าทุกคนบนโลกล้วนมี มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่มี อีกทั้งตอนแรกนอกจากวางค่ายกลแล้ว เธอไม่สามารถฝึกฝนวิชาเวทอันใดได้เลย ต่อมาเนื่องจากหลอมรวมเส้นชีพจรเสวี ยนของอาจารย์ปู่ จึงเริ่มใช้วิชาเวทได้
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดอย่างละเอียด ตอนนี้ตระหนักขึ้นได้ หรืออาจไม่ใช่เพราะเธอพิเศษจึงไม่มีเส้นชีพจรเสวียน หากแต่เพราะว่าคนในดินแดนของเธอล้วนไม่มีเส้นชีพจรเสวียน!
“นายท่านเผย คุณเผย พวกคุณสะดวกให้ฉันดูทะเลจิตของพวกคุณหรือไม่” เธอถาม
“ฮะ?” ทั้งสองคนฟังไม่เข้าใจ “อะไรคือ…ทะเลจิต?”
“ไม่เป็นไร ก็แค่ตรวจดูร่างกายของพวกคุณเท่านั้น!” เธอเปลี่ยนวิธีการพูด ก่อนจะเสริมขึ้น “วางใจ พวกคุณไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“อาจารย์อวิ๋นพูดเล่นแล้ว คุณตามสบาย” หากเธอคิดจะลงมือจริง พวกเราทั้งสองคนก็ต้านไว้ไม่อยู่
อวิ๋นเจี่ยว ไม่ได้ลังเล เธอใช้พลังลมปราณ จิ้มลงไประหว่างคิ้วของทั้งสองคน ตรวจดูทะเลจิตอย่างละเอียด ก่อนจะจับชีพจร ความตกตะลึงภายในดวงตา มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่มี!
ไม่มีเส้นชีพจรเสวียนจริงด้วย! เหมือนกับเธอในตอนนั้น ร่างกายของพวกเขาไม่มีสิ่งที่ชักนำพลังลมปราณได้แม้แต่น้อย หมายความว่าเธอเดาเอาไว้ไม่ผิด ทุกคนบนดินแดนนี้ล้วนไม่มีเส้นชีพจร รเสวียนตั้งแต่แรก
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ รอบนอกตันเถียนของพวกเขา มีพลังบางๆ ล้อมรอบกักขังพลังลมปราณส่วนหนึ่งอยู่ด้านใน เพียงแต่พลังกลุ่มนั้นเจือจางอย่างมาก ทำได้เพียงกักขังพลังลมปราณส่วนน้อยเอ อาไว้ใช้
แปลก พลังของพวกเขาต่ำมาก!