ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 445 หน้าที่การสร้าง
“ฮึ!” ซื่อไป๋กลอกตาขาวใส่คนทั้งหลาย ไร้สาระ! ก็แค่อาหารมนุษย์ไม่ใช่หรือ ทำราวกับอาหารเลิศรสอะไรเสียอีก มีเพียงคนไร้ยางอายอย่างอิ้งหลุนที่ประชิดเข้าไปเพราะไม่อยากถูกเยี่ยยวนต่อย ไม่เกี่ยวกับอาหารมนุษย์โต๊ะนี้แม้แต่น้อย ความอยากทางปากท้องไม่สำคัญสำหรับเขา ไม่กินก็ไม่กิน มีอะไร…
“ศิษย์ตัวน้อย น้ำแกงกระดูกหมูต้มไชเท้าอีกชาม อร่อยมาก!”
“ช่างเถอะ ชาวสวน! น้ำแกงต้องดูดวงชะตา ในฝันถึงจะมีชามที่สอง”
“อย่างอื่นก็ได้…ตาไป๋เจ้าอายุมาก ย่อยไม่ดี ตอนกลางคืนอย่ากินมาก ข้าช่วยเจ้าเอง”
“ไม่ต้อง เมื่อเทียบกับเจ้า ข้าว่าอายุข้ายังเด็กอยู่!”
“อย่าเกรงใจ! พวกเจ้าเพิ่งกลับมา ปรับตัวไม่ได้เป็นเรื่องปกติ กินมากไม่ดี!”
“ไม่ๆๆ ที่นี่อย่างน้อยก็เป็นโลกมนุษย์ เจ้าข้ามมาจากยมโลกถึงจะปรับตัวไม่ได้!”
“ตาไป๋ คบมานานหลายปี เนื้อชิ้นนี้! ข้าคิดว่าต้องเป็นของข้า!”
“กินอิ่มถึงจะพูดเรื่องความสัมพันธ์ได้ เจ้าให้ข้ากินอิ่มก่อน!”
“ไม่! เจ้าไม่อยากกิน!”
“ไม่! ข้าอยากกิน…”
“…”
ซื่อไป๋ “…” อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ
ทันใดนั้นก็อยากจะลองชิมเสียแล้ว?!
…
สุดท้ายซื่อไป๋ก็ไม่ได้จากไป เขาอยากรู้ว่าข้าวมื้อนั้นอร่อยขนาดไหน สิ่งสำคัญคือเรื่องที่อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะทำต้องได้รับการอนุญาตจากอิ้งหลุนและซื่อไป๋
ดังนั้นอวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ปิดบัง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนนั้นให้อิ้งหลุนและซื่อไป๋ฟังอย่างละเอียด
“ศิษย์ตัวน้อยเจ้าหมายความว่า เวลานี้เจ้าก็เป็นผู้สร้าง?” อิ้งหลุนมองอวิ๋นเจี่ยวด้วยความตกตะลึง กวาดตามองนางขึ้นลง “มิน่า…ข้ารับรู้ถึงพลังแห่งต้นกำเนิดบนตัวของเจ้า” เดิมทีคิดว่าตนเองคิดไปเอง หรือเพราะว่าหลังจากที่เยี่ยยวนกลับมา ต้นกำเนิดของดินแดนแห่งนี้สั่นคลอนตามสัญชาตญาณ แต่ไม่คิดว่าบนตัวของศิษย์ตัวน้อยจะมีพลังแห่งต้นกำเนิดของดินแดนอื่นจริงๆ
ซื่อไป๋มองไปยังเยี่ยยวน คิ้วของเขาขมวดมุ่น พูดด้วยสีหน้าลังเล “เยี่ยยวน เจ้าหลอมรวมต้นกำเนิดของดินแดนอื่นแล้วจริงหรือ หมายความว่า บนตัวเจ้าในเวลานี้มีพลังของสองดินแดน?!”
เยี่ยยวนไม่อยากตอบเขา อีกทั้งไม่มีท่าทีจะสนใจเขา แม้แต่มองก็ยังไม่มองเขา แต่คำตอบสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
สีหน้าของซื่อไป๋ย่นจนกลายเป็นมะระในทันที!
นี่มันเรื่องอะไรกัน ความสามารถเดิมก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว เวลานี้…จะให้เขาเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายได้อย่างไรอีก หลายปีมานี้ เขาก็แค่อยากเอาชนะอีกฝ่ายสักครั้ง ยากนักหรือ! สิ้นหวังเสียจริง!
ซื่อไป๋ยิ่งคิดยิ่งโมโห ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรม เหตุใดเรื่องดีเช่นนี้จึงไม่ตกอยู่บนตัวของคนอื่น ล้วนกองอยู่บนตัวเยี่ยยวน เขาก็กำเนิดช้าไปเล็กน้อยเท่านั้นไม่ใช่หรือ
ข้ามดินแดนไปหนึ่งรอบพลังทวีคูณก็แล้วไป สิ่งสำคัญคือ ตาแก่ที่มีชีวิตอยู่มานานมากจนเผชิญกับอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน เวลาปกติที่ไม่เปิดหูเปิดตาดูโลก เมื่อเปิดหูเปิดตาขึ้นมาดันมีคู่ได้สำเร็จ! คนที่หายไปยังอีกดินแดนยังสามารถตามกลับมาได้?!
อ๊ากกก! ยิ่งคิดยิ่งไม่เป็นธรรม!
เขามองไปยังหญิงสาวที่ทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ด้านข้างใครบางคนด้วยสายตาเคียดแค้น
เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น หากไม่ใช่เขาอยากจะทดลองผนึกพลังของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายคำสาปทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความทรงจำชั่วคราว อีกทั้งเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่มีเวลาแน่นอน เยี่ยยวนก็คงไม่โกรธจนผนึกเขาอยู่ในเซินหยวน หากเขาไม่ถูกผนึกอยู่ในเซินหยวน สิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนมนุษย์เขาก็สามารถรับรู้ได้เร็วที่สุด เช่นนั้นการพบเจอกับศิษย์ตัวน้อยอาจจะเป็นตนเอง หากเป็นเช่นนี้ คนที่ได้รับต้นกำเนิดของสองดินแดนก็คือ…
ราวกับสัมผัสบางอย่างได้ คนที่มองไม่เห็นเขาเมื่อสักครู่เดินออกมาบังสายตาของเขา สายตาของอีกฝ่ายเย็นชา จ้องมองมาราวกับต้องการตักเตือน…
มองอะไร! เจ้ายังคิดจะลักพาตัวศิษย์หลานตัวน้อยของข้าหรือ!
ซื่อไป๋ “…”
เฮ้ย! มองก็ไม่ได้?
“ศิษย์ตัวน้อย…” อิ้งหลุนไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำของทั้งสองคน เขาพูดกับอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าบอกเรื่องนี้กับพวกข้าเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดใช่หรือไม่” ศิษย์ตัวน้อยเป็นคนมีความคิด เรื่องสำคัญแบบนี้ บอกเขาก็แล้วไป แม้แต่ซื่อไป๋ก็รับรู้ย่อมต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะอธิบาย “พูดตามจริง ดินแดนที่ข้ารับมือมาโกลาหลอย่างมาก พลังของหนทางแห่งสวรรค์ไม่เพียงพอต่อการกอบกู้และพยุงมันกลับมาในทางที่ถูกต้อง อีกทั้งข้าไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่ผู้สร้างต้องทำ ถึงแม้จะมีแผนการปรับปรุง”
“ในเมื่อยุ่งยากเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่สร้างใหม่” อิ้งหลุนยังไม่ทันพูด ซื่อไป๋ก็ขัดขึ้นทันที ในเมื่อแก้ไขไม่ได้แล้ว สู้ให้มันผิดต่อไปจนทำให้ดินแดนพังทลาย ไม่สู้ให้มันเริ่มต้นใหม่ แก้ไขปัญหาจากต้นเหตุ สร้างหนทางแห่งสวรรค์ใหม่ไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องยุ่งยาก นางครอบครองต้นกำเนิดแล้ว สิ่งนี้คงจะทำได้
อวิ๋นเจี่ยวผงะ หันหน้าไปมองซื่อไป๋อย่างช้าๆ คิ้วของเธอขมวดมุ่น เป็นครั้งแรกที่เห็นความโกรธในดวงตาของเธออย่างชัดเจน “เหตุใด เพราะว่าพวกเขาคือชีวิต” การสร้างดินแดนใหม่ย่อมต้องพังทลายดินแดนก่อน!
ซื่อไป๋ยังคงไม่รู้สึกว่ามีปัญหา “มีต้นกำเนิดอยู่ พวกเขาย่อมต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่…”
“ท่านยอมเกิดใหม่หรือไม่” เธอพูดขัดเขา
“อะไรนะ!” ซื่อไป๋ผงะ ก่อนจะตอบ “ข้าเป็นผู้สร้าง ไม่ต้อง…”
“ท่านมีสิทธิ์อะไรให้พวกเขาไป” อวิ๋นเจี่ยวถามกลับ ราวกับกำลังข่มความโกรธ น้ำเสียงที่พูดออกมากระแทกเสียงอย่างรุนแรง “สิ่งที่ท่านไม่เคยประสบเอง ท่านมีสิทธิ์อะไรคิดว่าพวกเขาควรไป เพียงแค่ตัดสินความเป็นความตายจากคำพูดประโยคเดียว ท่านคิดว่าชีวิตคืออะไร ของเล่นหรือ”
“ข้าไม่…” ซื่อไป๋ชะงัก ไม่รู้จะพูดอย่างไรในเวลาหนึ่ง ทั้งที่เขากำลังออกความเห็นให้ แต่เหตุใดนางจึงโกรธขึ้นมา อีกทั้งเขามีความรู้สึกผิดอย่างประหลาด ทำให้เขาไม่อาจโต้แย้งได้ทันที ทำได้เพียงพึมพำ “ล้วน…แล้วแต่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ” เขาทำเพื่อส่วนรวม
“ข้าไม่รู้ว่าผู้สร้างอื่นมีสถานการณ์อย่างไร” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วมุ่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แต่ข้ารู้สึกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสมควรแก่การเคารพ ถึงแม้เวลานี้ข้าจะเป็นผู้สร้าง แต่ข้าก็เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา ในเมื่อไม่ใช่สิ่งที่ตนเองอยากเผชิญ ก็อย่าได้ยัดเยียดให้คนอื่น ข้าเองยังไม่อยากตาย เหตุใดจะส่งคนทั้งดินแดนไปตายได้อย่างง่ายดาย”
“ใช่ ผู้สร้างแตกต่างจากพวกเขา ผู้สร้างครอบครองต้นกำเนิด ครอบครองสรรพสิ่งของดินแดน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดที่ทุกคนเอื้อมไม่ถึง ความสูงเป็นเครื่องกำหนดมุมมองที่แตกต่างกัน ย่อมสามารถกำหนดสรรพสิ่งในดินแดนได้อย่างอิสระ อีกทั้งเพื่อส่วนรวม เพื่อการพัฒนาที่ดีของดินแดนย่อมต้องเสียสละบางอย่าง หรือ…ใช้กลอุบายบางอย่างถึงจะทำให้ดินแดนนั้นงดงามยิ่งขึ้น แต่ข้าไม่รู้สึกว่าการใช้ชีวิตของคนทั้งดินแดนในการแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่สมควร หรือบางทีอาจทำเพื่อลดปัญหา”
เสียงของเธอทุ้มต่ำลง พูดอย่างตั้งใจยิ่งขึ้น “สิ่งมีชีวิตงดงามได้เพราะพวกเขามีชีวิต! หากความเป็นความตายไม่แตกต่างกัน เหตุใดจึงต้องสร้างดินแดน เหตุใดจึงต้องให้กำเนิดสรรพสิ่ง สู้ให้สรรพสิ่งกลับคืนสู่ต้นกำเนิด ไม่ปรากฏตลอดกาลจะง่ายกว่าหรือไม่”
“…” ซื่อไป๋พูดไม่ออก
“สิ่งมีชีวิตสำคัญที่ชีวิต ความหมายของผู้สร้างที่ข้าเข้าใจคือมีอยู่เพื่อสรรพสิ่งมีชีวิตได้ดียิ่งขึ้น หากใช้การทำลายล้างในเวลาที่เหมาะสมจะหาไม่ เมื่อยืนอยู่บนที่สูง สามารถมองออกไปได้ไกล แต่อย่าลืมว่าใต้เท้าของพวกเรายังคงเหยียบพื้นแผ่นดินอยู่!”
ซื่อไป๋ “…”
รู้สึกเหมือนถูกคนด่า แต่…เขาไม่อาจโต้แย้งได้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเหตุผล อีกอย่าง…ความรู้สึกละอายภายในใจคืออะไรกัน