ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 57 ชิงหยางที่แท้จริง
“ท่านสหายเซ่า คนนั้น…ใคร” ชายแก่ถามออกมาอย่างอดไม่ได้
เซ่าเซี่ยนมองถังเฉินที่จากไป ก่อนจะอธิบาย “เขาคือลูกชายคนเดียวของเจ้าตระกูลตระกูลถัง เล่าลือกันว่าเขามีสัมผัสที่ไวต่อพลังลมปราณมากกว่าคนอื่นมาตั้งแต่ยังเล็ก สามารถชักนำพลังลมปราณได้ตั้งแต่ห้าขวบ ตอนนี้อายุเพียงสิบแปดปี แต่ก็จะบรรลุระดับเสวียนแล้ว เป็นอัจฉริยะของตระกูลถัง” เขาพูดด้วยสีหน้าอิจฉา แต่เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างก็ขมวดคิ้ว “เพียงแต่เมื่อช่วงก่อน…ข้าได้ยินมาว่าเขาหายตัวไปกะทันหัน ทั้งตระกูลถังล้วนตามหาตัวเขา ไม่คิดว่าเขาจะมาเข้าร่วมการขึ้นทะเบียนของสำนักเทียนซือ”
“อ่อ…” ชายแก่พยักหน้า เข้าใจทันทีว่าทำไมเมื่อเขาได้ยินชื่อของเจ้าหนูถึงได้มีปฏิกิริยาใหญ่เช่นนั้น อาจเป็นอันดับของการสอบรอบที่สอง ที่ถูกชื่อของอวิ๋นเจี่ยวทับอยู่ด้านบน อาจจะไม่พอใจเล็กน้อยเพราะเป็นอัจฉริยะมานาน
เฮ้อ! พูดได้แค่ เขายังหนุ่มเกินไป ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรคือการโจมตี ‘ในแบบอวิ๋น’ ดูอย่างเขา ถูกโจมตีอยู่ทุกวันจน…ชินชาไปแล้ว!
╮(╯▽╰)╭
พวกเขาไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนั้นอีก เพียงแค่เสียงอุทานของถังเฉินเมื่อครู่ ทำให้คนบริเวณโดยรอบหันมาสนใจ ชื่อของอวิ๋นเจี่ยวที่ปรากฏอยู่ด้านบนสุดนั้น ทำให้คนตราตรึงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงมุงเข้ามาด้วยความสงสัยและอยากทำความรู้จัก
“ท่านนี้คือท่านสหายอวิ๋นที่ได้ที่หนึ่งในสนามสอบสองใช่หรือไม่” ชายหนุ่มเสื้อเขียวคนหนึ่งถามขึ้น
“ใช่” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าดีใจ ก่อนจะกำหมัดทำความเคารพพร้อมเอ่ย “ท่านสหายอวิ๋นได้อันดับที่หนึ่ง ต้องเป็นคนที่มีวิชาเก่งกาจ ข้าชื่อลู่เจี๋ยเป็นศิษย์สำนักเสวียนหยาง อาจารย์ของข้าคือฟางจินเทียนซือ ฝึกฝนด้านข่ายพลังโดยเฉพาะ ได้ยินว่าท่านสหายอวิ๋นได้ทดสอบข่ายพลังในสนามรอบสอง ไม่ทราบว่าท่านมาจากสำนักไหน อาจารย์เป็นใคร”
อวิ๋นเจี่ยวตอบออกไป “สำนักชิงหยาง”
เมื่อนางพูดจบ ชายหนุ่มที่เดิมมีสีหน้าเป็นมิตรนั้นดำลงไปทันที “ชิงหยาง?”
“ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
“ชิงหยางของเทพเจ้ากว่างจี้?” ชายหนุ่มถามซ้ำอีกครั้ง
“ใช่!”
“…”
คราวนี้ไม่เพียงแต่ชายหนุ่ม รวมทั้งศิษย์เสวียนเหมินบริเวณรอบข้างก็มองพวกเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด พร้อมทั้งยังแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม บางคนถึงขั้นหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ฮึ…สำนักชิงหยางอีกคน ศิษย์เสวียนเหมินบางคนในตอนนี้มันช่าง…”
‘วิชาเก่งกาจแค่ไหน แต่นิสัยนี่สิ…ไม่อยากพูด’
‘ทำลายชื่อเสียงเสวียนเหมินเสียจริง’
‘คนแบบนี้ยังกล้ามาขึ้นทะเบียนด้วย?’
‘สำนักเทียนซือทำไมถึงไม่จัดการ’
ทุกคนยิ่งพูดสีหน้ายิ่งแย่ลง ทันใดนั้นก็หมดความสนใจที่จะมุงดูที่หนึ่งไป พร้อมกับส่ายหน้าถอยห่างออกไป รวมไปถึงชายหนุ่มที่พูดตอนแรกนั้นก็ได้แต่หัวเราะแห้งแล้วจากไป
ไม่เพียงแต่อวิ๋นเจี่ยว ไป๋อวี้เองก็มีสีหน้างงงวย “เฮ้ยๆๆ พวกเจ้าหมายความว่ายังไง” สำนักชิงหยางของพวกเขาทำไมกัน
กำลังจะเดินเข้าไปถามให้รู้เรื่อง ตาโจวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าเปลี่ยนไป ราวกับนึกอะไรได้ ก่อนจะดึงชายแก่ไว้แล้วพูดว่า “ท่านไป๋ๆ …อย่าใจร้อน”
“พวกเราไม่ได้ทำอะไรพวกเขา ทำไมพวกเขาต้องทำเช่นนี้” ไป๋อวี้รู้สึกโกรธเล็กน้อย
ตาโจวยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น มองผู้คนบริเวณโดยรอบ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าจำได้ไหมว่าข้าเตือนให้เจ้าเปลี่ยนชื่ออารามหลายครั้ง”
“พวกข้าเดิมก็ชื่อชิงหยาง ทำไมต้องเปลี่ยน” ไป๋อวี้ก็ยิ่งไม่พอใจ สืบทอดกันมากี่พันปีแล้ว ทำไมถึงต้องเปลี่ยนชื่อ
“เฮ้อ เจ้าไม่ค่อยได้ออกมานอกอาราม ไม่รู้ก็เป็นเรื่องธรรมดา” ตาโจวสีหน้าลังเลใจ ลากพวกเขาออกมาก่อนที่จะอธิบายเสียงเบา “พวกเจ้าคงเคยได้ยิน ‘เสวียนเหมินดั้งเดิม ชิงหยางที่หนึ่ง’ ใช่หรือไม่”
“แน่นอน!” ชายแก่พยักหน้า เขายังเคยใช้ประโยคนี้หลอกเจ้าหนู วิชาแห่งเสวียนเหมิน แต่แรกก็ออกมาจากสำนักชิงหยาง
“เล่าลือกันว่าปรมาจารย์ของแต่ละสำนักในตอนนี้ ล้วนสืบทอดมาจากสำนักชิงหยาง ดังนั้นปรมาจารย์ของสำนักชิงหยางถึงได้ชื่อว่าเทพเจ้ากว่างจี้ เมื่อหลายพันปีก่อน สำนักชิงหยางเป็นเสวียนเหมินอันดับหนึ่งก็จริง แต่ว่าต่อมาสำนักชิงหยางได้ค่อยๆ ล่มสลายไป เมื่อหลายร้อยปีมานี้ไม่มีศิษย์คนไหนออกมา” ตาโจวมองไป๋อวี้ทีหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แต่ว่าชื่อเสียงของสำนักชิงหยางยังคงอยู่ ดังนั้นจึงทำให้มีคนบางกลุ่มคอยจ้องจะใช้ชื่อของสำนักชิงหยางหาผลประโยชน์ ดังนั้นเหล่าคนที่แทนตัวเองว่าสำนักชิงหยางในตอนนี้ ล้วนเป็นพวกคนที่แอบอ้างชื่อ หลอกลวงผู้คน”
“เจ้าจะบอกว่า พวกเขา…คิดว่าพวกข้าโกหก!” ชายแก่สีหน้าตะลึง ก่อนจะแย้งกลับไปว่า “แต่ว่าเรามาจากสำนักชิงหยางจริงๆ นะ!” อาจารย์ปู่ยังลงมากินน้ำแกงไก่อยู่ทุกวัน!
“แต่ทุกคนล้วนคิดว่าสำนักชิงหยางที่แท้จริงไม่มีมาตั้งนานแล้ว” ถึงแม้จะใช่ ก็ไม่มีคนเชื่อ!
ทุกปีจะมีนักพรตปลอมที่แอบอ้างว่าตนเองมาจากสำนักชิงหยางในแต่ละที่ แต่ละสำนักก็มักจะเจออยู่บ่อยๆ อีกทั้งเหล่านักพรตพเนจรก็มักจะแอบอ้างชื่อของชิงหยาง เพื่ออวดอ้างความสามารถของตน อีกทั้งมีหลายคนในนั้นที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น ทำให้คนรำคาญใจไม่น้อย
ไป๋อวี้ “…”
ดังนั้น ของปลอมมีเยอะ จนทำให้ของจริงก็กลายเป็นของปลอมเหรอ
( ̄△ ̄;)
ไป๋อวี้รู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่า คำว่าสำนักชิงหยางจะเป็นเช่นนี้ในสายตาของศิษย์เสวียนเหมิน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้พวกเขาจะผ่านการทดสอบขึ้นทะเบียน แต่ก็คงไม่มีคนเชื่อถือพวกเขา
“เจ้าหนู…” เขามองไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าอยากร้องไห้
อวิ๋นเจี่ยวหันกลับมามองเขา ก่อนจะพูดออกมา “สอบเสร็จก่อนค่อยว่ากัน!” ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อว่าพวกนางเป็นของจริง งั้นก็ใช้ความสามารถแสดงให้พวกเขาเชื่อ
…
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง อากาศที่เพิ่งจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลินั้นยังคงแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความหนาวเย็นที่หลงเหลือจากฤดูหนาว พระอาทิตย์ล่วงลับลง ด้านล่างของภูเขามืดสนิทแล้ว ได้ยินเพียงเสียงของลมหนาวที่พัดผ่านหูไป พร้อมทั้งยังแทรกแซงไปด้วยเสียงโหยหวนของผีที่ได้ยินไม่ค่อยชัด
ผู้ทดสอบบริเวณด้านล่างเขากลับมีสีหน้าตื่นเต้น ในที่สุดก็เริ่มสอบเสียที พวกเขาหยิบอุปกรณ์ขึ้นมามากมาย รวมกลุ่มกันก่อนจะออกเดินทางขึ้นเขา
กลุ่มของอวิ๋นเจี่ยวก็ออกเดินทาง ภูเขาจี้ซานซานใหญ่มาก อีกทั้งยังปกคลุมเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่มากมาย ด้านในแม้แต่แสงของดวงจันทร์ยังเล็ดลอดมาไม่ถึง พวกนางจึงทำได้เพียงจุดยันต์ส่องสว่าง เลือกเส้นทางเล็กที่ไม่โดดเด่นเท่าไหร่นักในการเดินขึ้นเขาไป สามารถเห็นรูปร่างของสุสานที่โผล่ออกมาจากในโพลงต้นไม้บ้างเป็นบางเวลา
เส้นทางนั้นตาโจวเป็นคนเลือก การทดสอบในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าทดสอบความสามารถในการจับผีของทุกคน การเดินเส้นทางเล็กนั้นง่ายต่อการเจอผีมากขึ้น อวิ๋นเจี่ยวไปยังสุสานที่ถูกต้นไม้บังเอาไว้บริเวณริมทาง ในใจมีความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมา สุสานนี้…ไม่เปล่าเปลี่ยวไปหน่อยหรือ
“ข้างหน้ามีวิญญาณ” พวกเขาเดินมาได้ราวครึ่งเค่อ ตาโจวหยุดชะงักในทันที ชี้นิ้วไปยังเข็มทิศที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่งบนมือ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าดีใจ “อยู่ข้างหน้า”
คนที่เหลือได้ยินเช่นนั้น ต่างคนก็หยิบอาวุธและยันต์ออกมา มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ตาโจวชี้ เมื่อหักเลี้ยวไปทางแยกของเส้นทางก็เห็นวิญญาณที่กึ่งใสกำลังลอยอยู่บริเวณใต้ต้นไม้
มันราวกับไม่มีสติสัมปชัญญะ เพียงแค่ลอยไปลอยมาอย่างไร้จุดหมาย รูปร่างก็บางเบากว่าผีร้ายที่เคยพบเจอมาอย่างมาก ราวกับมันจะสลายไปได้ทุกเมื่อ เมื่อเห็นคนทั้งหลายปรากฏตัวก็ไม่มีปฏิกิริยา ยังคงล่องลอยอยู่อย่างนั้น