ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 62 ล้อมรอบโจมตี
“นั่น…พวกนั้น…คืออะไร” ตาโจวที่ยืนอยู่ข้างไป๋อวี้ตลอดนิ่งอึ้งไป มองไปทางประตูอย่างล่องลอย คนในห้องทั้งหมดก็เช่นกัน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันเข้าใจในเหตุการณ์
อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้า หยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งติดมือไป ก่อนจะเขี่ยไปยังศพที่ไหม้บนพื้น มองพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพูดขึ้น “ผีดิบ”
“อะไรนะ?!” ทุกคนตะลึง เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองทุกคนในห้อง ก่อนจะพูดขึ้น “คนพวกนี้ได้ตายไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใช้วิธีไหนถึงได้ผนึกวิญญาณไว้ในร่าง ปลอมตัวเป็นคนเป็น”
“ดังนั้น…เขาเป็นศพอยู่แล้วในเดิมที?” ตาโจวถามขึ้น
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “ถึงแม้ร่างกายของเขาจะสามารถขยับได้ตามปกติ แต่ตายแล้วก็คือตายแล้ว กายเนื้อไม่มีพลังคนเป็นคอยประคอง ก็จะเน่าเปื่อยลง”
ทุกคนนึกถึงภาพของหัวหน้าหมู่บ้านที่เผยออกมาหลังจากที่ถูกยันต์ ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนดำลง มองชามในมือก่อนจะโยนทิ้งไป จะกินลงอีกที่ไหน นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เริ่มอาเจียนออกมา
“ดังนั้น…” สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวเคร่งเครียด “เพื่อรักษาร่างกายให้เป็นประโยชน์ต่อได้ พวกเขาต้องทำอะไรบางอย่างเป็นแน่”
“อะไร?” ทุกคนถามออกมา
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ตอบ แต่เงยหน้าขึ้นมองไปทางภูเขาจี้ซาน ถึงได้พูดต่อว่า “พวกเจ้าไม่รู้สึกว่า…วิญญาณบนภูเขานี้มีมากเกินไปเหรอ”
ทุกคนต่างตะลึงไป สักพักถึงได้เข้าใจความหมายของนาง ทันใดนั้นทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเหลือเชื่อ
ชายแก่ยิ่งอุท่านออกมา “เฮ้ย!”
ก็เป็นจริงตามนั้น วิญญาณบนภูเขาเมื่อวานมีมากเกินเหตุ เพียงแค่กลุ่มของอวิ๋นเจี่ยวเองก็เจอไม่น้อยกว่าหลายร้อยตัว ไม่ต้องพูดถึงศิษย์เสวียนเหมินเกือบห้าสิบคนที่มาพร้อมกันในคราวนี้ เมื่อรวมกับที่คนอื่นเจอ จำนวนของวิญญาณน่าจะเกินหลายพันแล้ว
ในหมู่บ้านที่มีไม่ถึงร้อยครัวเรือนแห่งนี้ ถึงแม้จะอยู่ที่นี่ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ มีคนเสียชีวิตไปมากขนาดไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ไปเกิดใหม่ทั้งหมด หากเช่นนั้นที่วิญญาณพวกนี้รวมตัวกันอยู่บนภูเขา ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจตายในระยะเวลาอันใกล้นี้ และมีความเป็นไปได้ว่าถูกพวกหัวหน้าหมู่บ้านที่ปลอมตัวเป็นคนนั้นฆ่าตาย
“ผีดิบที่วิ่งหนีไปนั้นต้องทำร้ายคนอีกแน่นอน!” เซ่าเซี่ยนสีหน้าโกรธเคือง พูดด้วยเสียงร้อนรน “จะปล่อยให้พวกมันทำร้ายคนอีกไม่ได้ ต้องไปหาพวกมันให้ออกจากหมู่บ้าน” พูดจบเขาก็หยิบกระบี่ท้อข้างตัวขึ้นมา คนอื่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
อวิ๋นเจี่ยวกลับหันหน้าไปมองเขา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในหมู่บ้าน อาจจะมีเพียงแค่สี่ตัว!”
“…”
หมายความว่าอย่างไร
ทุกคนต่างอึ้งไป ยังไม่ทันได้เข้าใจ ก็มีศิษย์คนหนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “ดูสิ ข้างนอก…ข้างนอกมีอะไรบางอย่างกำลังมาทางนี้! ”
ทุกคนต่างตะลึง หันหน้าไปมอง เห็นเพียงแต่หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ปรากฏร่างคนจำนวนมาก กำลังมุ่งมาทางนี้ อีกทั้งจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถึงชั่วครู่ก็มีมากกว่าร้อยคนแล้ว แต่ละคนรูปร่างประหลาดเช่นเดียวกับหลายคนก่อนหน้านี้ บนตัวยังสามารถเห็นร่องรอยของการเน่าเปื่อย
“เป็นคนในหมู่บ้าน!” มีคนจำเสื้อผ้าของคนเหล่านั้นได้ ทันใดนั้นตาเบิกโพลง สูดลมหายใจเข้า “พวกเขา…คนในหมู่บ้านนี้ทั้งหมดเป็น…ผีดิบ!”
ใจของทุกคนหล่นลงไปในทันที ทั้งหมู่บ้านไม่มีแม้แต่คนเป็น มีบางคน รีบควักยันต์และอาวุธออกมาเตรียมต่อสู้ กำลังจะชักนำพลังลมปราณ แต่กลับพบว่าเส้นชีพจรถูกปิดกั้นไป ปากอาเจียนเป็นเลือดออกมา “ข้า…พลังของข้า?”
“พลังของข้าถูกผนึกเช่นกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” พลังลมปราณถูกผนึกไม่ใช่แค่คนเดียว
“ข้าวต้มเมื่อกี้ถูกใส่หญ้ากินพลังลมปราณ!” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย “พลังลมปราณของพวกเจ้าจะถูกผนึกไว้สิบชั่วยาม ในระหว่างนี้อย่าใช้พลัง”
ทุกคนถึงได้เข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้นางถึงได้ห้ามทุกคนกินข้าวต้ม เพียงแต่ว่า พบช้าเกินไป ในห้าสิบคนมีอย่างน้อยสิบคนที่ถูกผนึกพลังเอาไว้
“ตอนนี้ต้องทำยังไง” คนที่เข้าร่วมการทดสอบส่วนใหญ่ยังเด็ก ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ อีกทั้งฝูงผีดิบที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาร้อนรนในทันที “นี่…นี่ไม่ใช่เนื้อหาของการสอบแล้ว คนของสำนักเทียนซือละ ทำไมถึงยังไม่มา พวก…พวกเราคงจะไม่ตายที่นี่ใช่หรือไม่”
ประโยคนี้พูดจบ คนที่เหลือต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อเห็นสถานการณ์กำลังจะสูญเสียการควบคุม บางคนก็ก้าวถอยไปเตรียมตัวจะวิ่งหนี
“เพียงแค่ข้อสอบเกินเท่านั้น กลัวอะไร” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้นเพื่อเบนความสนใจของทุกคน “ในตัวของพวกเจ้ามียันต์ป้องกันใช่หรือไม่ นำไปติดเอาไว้ที่บริเวณรอบบ้าน พวกมันเป็นผีดิบ โจมตีข้ามยันต์ป้องกันมาไม่ได้ในทันที”
ทุกคนต่างตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเลและสงสัย
อวิ๋นเจี่ยวหันไปกำชับอีกครั้ง “ชายแก่ ตาโจว แล้วก็ตระกูลถัง…สองคนนั้น พวกเจ้าสี่คนตามข้ามาวางข่ายพลัง!”
ตระกูลถังคนแรก (เซ่าเซี่ยน) “…”
ตระกูลถังคนที่สอง (ถังเฉิน) “…”
ถึงแม้จะเป็นสถานการณ์คับขัน แต่ว่าความไม่พอใจเบาๆ นี่มันคืออะไร อย่างน้อยอันดับของเขาก็แค่รองจากนางอันดับเดียว อยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ จำชื่อมันยากหรือไง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่คนก็รีบลุกขึ้นตามไปทันที แต่คนในบ้านกลับไม่ขยับ อย่างน้อยผีดิบทางนั้นก็มีกว่าร้อยตัว เพียงแค่ข่ายพลังและยันต์ป้องกัน จะไม่เป็นไรจริงเหรอ
กลับเป็นศิษย์ชุดเขียวในบ้านลุกขึ้นมาทันที หยิบยันต์ป้องกันทั้งหมดในตัวออกมา ติดไว้บริเวณประตูไม้ทางด้านหน้า พลางติดพลางพูดขึ้นว่า “ท่านสหายทั้งห้า เชื่อฟังท่านสหายอวิ๋นเถอะ นางเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ เมื่อกี้ยังช่วยชีวิตของศิษย์พี่ข้า คงจะไม่มีใครรู้เรื่องผีดิบได้มากกว่านางแล้ว”
ทุกคนต่างตะลึง ไม่คิดว่าการสอบขึ้นทะเบียนรอบนี้ จะมีหมอรักษาพลังลมปราณด้วย เมื่อได้ยินดังนี้จึงวางใจ ลุกขึ้นยืนติดยันต์ป้องกันในทันที แต่ว่ายันต์ป้องกันที่ทุกคนพกมามีไม่มาก เพียงแค่สามารถรักษาทางเข้าแต่ละแห่งได้เท่านั้น
ผีดิบทางนั้นได้ล้อมเข้ามาแล้ว พวกมันละทิ้งการปลอมตัว แต่ละตัวพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าน่ากลัว แต่ก็ถูกยันต์ป้องกันที่สว่างขึ้นต้านเอาไว้นอกประตู
ดวงตาสีแดงเลือดแต่ละคู่จ้องมองไปยังคนด้านในอย่างกระหาย ทุกคนขนลุกซู่ขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ นี่มันคนที่ไหนกัน นี่มันสัตว์ป่าชัดๆ ทันใดนั้นเข้าใจในทันทีว่าพวกมันต้องการอะไร พวกมันอยากจะกินพวกเขา นี่เป็นวิธีในการรักษารูปร่างคนเหรอ
ทุกคนต่างตกตะลึง เห็นผีดิบพวกนั้นพุ่งทะยานชนไปยังยันต์ป้องกัน แต่ก็ยังไม่สามารถเข้ามาได้ พวกมันราวกับรู้สาเหตุ ถอยออกไปอย่างกะทันหัน และหันไปทางกำแพงแทน
“แย่แล้ว! พวกมันคิดจะปีนกำแพงเข้ามา” มีคนดูออกถึงเจตนาของพวกมัน อุทานออกมา
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็มีร่างหลายร่างปีนข้ามมาได้ เมื่อเทียบกับบริเวณหน้าประตู ยันต์ป้องกันที่ติดไว้ค่อนข้างน้อย พวกมันชนเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถหาช่องโหว่ได้ ก่อนจะมุดเข้ามา
ทุกคนใจสั่นไปหนึ่งที กำลังคิดจะหยิบอาวุธขึ้นมาสู้ ทันใดนั้นแสงสีขาวสว่างขึ้นมา ผีดิบที่เพิ่งข้ามกำแพงมาเมื่อกี้ถูกกระแทกออกไปทันที ตามมาด้วยเสียงร้อยโหยหวนอย่างทรมาน ด้านล่างของบ้านหลังนี้ปรากฏข่ายพลังสีขาวขนาดยักษ์ขึ้นมาห่อหุ้มทุกคนเอาไว้ด้านใน
ข่ายพลังสำเร็จแล้ว?!
เร็วขนาดนี้!