สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ - ตอนที่ 102 การฝึกภาคสนามของการต่อสู้ชิงตำแหน่งหัวหน้า 14
ตอนที่ 102 การฝึกภาคสนามของการต่อสู้ชิงตำแหน่งหัวหน้า 14
พวกเขาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเคลื่อนตัวมาถึงชายฝั่ง
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากกองไฟ พวกเขาก็ต่างพากันร้องไห้! พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความหิวโหยและความเหน็บหนาวเป็นเช่นไร อีกทั้งไม่กล้ากล่าววิพากษ์วิจารณ์ดาวเคราะห์ที่อยู่แสนไกลในหนังสือเรียนอีกต่อไป เมื่อรู้ว่าที่นี่ไม่มีแม้แต่วัตถุดิบที่จะสามารถนำมาทำอาหารได้
ในอดีตพวกเขาเอาแต่กล่าวว่าทำไมสัตว์ป่าทั้งหลายจะต้องต่อสู้เพื่อกินกันและกันด้วย?
ปลามีจำนวนเยอะแยะ ทำไมไม่กินกัน?
แล้วตอนนี้ล่ะ?
แม่ครับ…ผมกินอะไรไม่ได้เลย!
เกรียนคีย์บอร์ดยังอวดดีต่อไป วิพากษ์วิจารณ์เก่ง ถ้าหากพวกตนตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จริง ๆ พวกเขาจะรู้เองว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย
เปลวไฟลุกโชนเพียงเล็กน้อย ฉินหยวนจึงสั่งให้ผู้ติดตามทุกคนไปขนถ่านหินมาเพิ่ม กองไฟอีกสองสามกองถูกจุดขึ้น จากนั้นผู้คนกว่านับหมื่นคนก็ผิงกองไฟ
“ทำไมอากาศหนาวจัง? ตอนกลางวันแล้วมันควรจะร้อนไม่ใช่เหรอ?” นักเรียนคนหนึ่งกล่าวขึ้น ถูมือที่เริ่มชาจากความเหน็บหนาว ขณะมองดูใบไม้บริเวณรอบป่ากลายเป็นน้ำแข็ง รู้สึกได้ว่าทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปตามหลักการวิทยาศาสตร์
“พวกนายกำลังบอกว่านี่คือเวทมนตร์ขององค์หญิงสามเหรอ? หรือว่าใช้เครื่องมือแบบไหนกันที่ทำให้อากาศผิดปกติแบบนี้?”
คนในกลุ่มสีแดงเริ่มกระซิบกระซาบ
นายทหารยศใหญ่ทั้งหลายเริ่มคิดกับภาพตรงหน้า…
สมองของเด็กพวกนี้ถูกแช่แข็งไปแล้วหรือไงกัน? ถึงขนาดร่ายเวทมนตร์ ใช้กล? เด็กพวกนี้ช่างโง่เขลานัก ทำไมถึงคิดอะไรเช่นนี้? คิดว่าเป็นนางฟ้าแห่งบาลาลาหรือไง??
ชาวเน็ตหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง! ผู้คนที่ออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตล้วนกลายเป็นผู้สนับสนุนของสวี่หลิงอวิ๋น เมื่อมองดูคนจากฝั่งสีแดง ลูกเทวดาทั้งหลายคลางแคลงใจว่าองค์หญิงสามร่ายเวทมนตร์!
“ฮ่า ๆๆๆ! พวกเขาโง่หรือเปล่า?”
“องค์หญิงสามจงเจริญ! เด็กพวกนั้นน่าสงสารจัง! องค์หญิงสามของเราไม่มีเวทมนตร์หรอก เธอแค่ไม่ได้ทำอะไรพลาดต่างหาก!”
“โธ่เอ๊ย! พวกเขาอ่านนิทานก่อนนอนมากเกินไปหรือไง? สมองถึงเต็มไปด้วยนิยายพรรค์นั้น??”
ผู้ติดตามขององค์หญิงสามยินดีปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น ใบหน้าสดใสด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิงสามของเราใจดีจัง กลัวว่าพวกเขาจะแข็งตาย ถึงขนาดก่อกองไฟให้พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สำนึกในน้ำใจด้วยซ้ำ! ฮึ่ม! ถ้ามีความสามารถนักก็ไม่ต้องผิงไฟสิ ออกไปหนาวตายซะ!”
คนในฝั่งสีแดงเริ่มหวาดระแวงดาวเคราะห์ใบนี้ ระแวงอากาศ ระแวงกองไฟที่โชกโชนอยู่ด้านหน้า พวกเขาผิงไฟจนร่างกายเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่น จากนั้นจึงเริ่มคิดหาวิธีแก้แค้นกลุ่มคนฝั่งสีเขียว…
แต่ตอนนี้มาทำร่างกายให้อบอุ่นก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากันใหม่!
ไม่มีทั้งเครื่องจักรกลให้ความอบอุ่น ไม่มีบ้านพัก ทั้งยังไม่มีเสื้อผ้าหนา ๆ แล้วแบบนี้จะอยู่รอดในความเหน็บหนาวได้อย่างไร?
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาออกจากรัศมีกองไฟ ความเคียดแค้นในใจของพวกเขาทั้งหมดก็มลายหายไปจนไม่มีอะไรหลงเหลือ ก่อเกิดเพียงความอ่อนแอในหัวใจ
ความอาฆาตคืออะไร? การแก้แค้นคืออะไร? ทั้งสองอย่างนี้ไม่ดีเท่ากับกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด
ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปจนเช้าตรู่ของอีกวัน ผู้คนจากฝั่งแดงเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องมา และรู้สึกได้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดต่อไปใช่ไหม?!
ฝั่งสีเขียวก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน
พวกมองดูกันและกันในระยะห่างเพียงแค่ห้าสิบเมตร คนจากฝั่งสีแดงเผยรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง และวิ่งไล่ไปยังฝั่งสีเขียว!
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องระงมจากคนในฝั่งสีแดงที่ตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่อีกครั้ง ขณะที่คนจากฝั่งสีเขียวแปรงฟันและล้างหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกนายดูน่าตลก?” รุยที่ยืนอยู่บริเวณปากหลุมพร้อมกับอ่างล้างหน้าที่ทำจากไม้ จ้องมองพวกเขาแล้วส่ายหัว “สนุกไหมล่ะที่นอนกลิ้งไปมา? ถ้าไม่ใช่ว่าองค์หญิงสามเวทนาพวกนายและจุดกองไฟให้ พวกนายคิดว่าจะเอาชีวิตรอดจากอากาศหนาวเมื่อคืนได้หรือไง?”
คนจากฝั่งสีแดงไม่ได้พูดอะไร เพราะพวกเขาสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้พวกตนตกไปอยู่ในกำมือของคนอื่นแล้ว
ฉินหยวนถูกรุยยั่วโมโห เขาลุกขึ้นทันทีและต้องการจะสั่งสอนรุย แต่สุดท้ายแล้ว
บัดซบ! ทำไมฉันถึงระดมเอาพลังดวงดาวทั้งหมดออกมาไม่ได้?!
เขารับรู้ได้ถึงพลังงานดวงดาวของตนเอง แต่ทำไมถึงรวบรวมพลังออกมาไม่ได้!
องค์หญิงสามทำอะไร? ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?!
“ฉันรู้แล้ว! องค์หญิงสามต้องทำอะไรกับกองไฟแน่ ๆ!” ฉินหยวนไม่สามารถใช้พลังดวงดาวได้ เฉกเช่นเดียวกับลุค
ลุคตะโกนออกไปอย่างโกรธจัด “องค์หญิงสาม ทำไมท่านถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้? เอาเลย! พวกเรามาต่อสู้กันแบบสง่าผ่าเผยเถอะ!”
เส้นผมของสวี่หลิงอวิ๋นยุ่งเหยิง เดินออกด้วยอาการง่วงเหงาหาวนอน “ตะโกนโวยวายอะไร? อยากจะต่อสู้เหรอ? ได้เลย มาสิ มาต่อสู้กัน!”
“ท่าน! ท่านทำให้พวกเราสูญเสียพลังดวงดาวไป พวกเราจะต่อสู้ได้ยังไง?!” ลุครู้สึกไม่พอใจอย่างมาก!
สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “พวกนายคิดว่าการที่พวกนายเอาพลังดวงดาวออกมาใช้ไม่ได้เป็นเพราะฉันหรือไง? ตลกแล้ว ฉันมีความสามารถยิ่งใหญ่ที่ทำให้พวกนายสูญเสียพลังดวงดาวไปได้เชียวเหรอ?”
“ทำไมพวกนายไม่คิดบ้างล่ะว่าเมื่อวานพวกนายท้องเสีย สมรรถภาพทางร่างกายก็เลยเสื่อมลง ไหนจะอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเป็นเวลานานอีก แต่ร่างกายของพวกนายกลับไม่เป็นอะไร ไม่เคยนึกถึงสาเหตุบ้างเลยหรือไง?”
“เพราะพลังดวงดาวปกป้องร่างกายของพวกนายยังไงล่ะ ถ้าพลังดวงดาวถูกบีบเค้นออกมา พวกนายคิดว่าร่างกายของพวกนายจะทนไหวไหม?!”
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูพวกเขาราวกับคนโง่เขลา “พวกนายเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นลูกเทวดา ทำไมถึงจำบทความในหนังสือเรียนของเราไม่ได้ล่ะ?”
“บทความ?” คนจากฝั่งสีแดงตกอยู่ในความงุนงง ไม่มีใครได้อ่านบทความนี้ ใครอ่านบทความนั้นบ้าง? ทำไมองค์หญิงสามถึงได้อ่านมัน?
“พลิกกลับไปบทที่หนึ่งในหนังสือเรียนของชั้นปีที่หนึ่ง ย่อหน้าที่หนึ่งเขียนเกี่ยวกับการคาดเดาพลังดวงดาวและร่างกายไว้ชัดเจน เมื่อสภาวะของร่างกายประสบเข้ากับการทดสอบครั้งใหญ่ พลังดวงดาวจะแบ่งเซลล์ออกมาอัตโนมัติเพื่อป้องกันสภาวะของร่างกาย ดูแลปอดและผิวหนังของพวกนายเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติ”
ลุคตกตะลึง
คนจากฝั่งสีแดงก็ตกตะลึงเช่นกัน!
ผู้ชมทั้งหลายเริ่มมองหาหนังสือเล่มนั้น และพบเข้ากับบทความนั้นบนหนังสือของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งจริง ๆ!
บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนโดยผู้เชี่ยวชาญสิบดาว มันเป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น และไม่มีใครยืนยันมันได้จริง
หรืออาจจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ทว่าพวกเขากลับไม่ได้สนใจนัก เพียงแต่คิดว่ากินอะไรผิดปกติเข้าไปหรือมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับพลังดวงดาว โดยไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าปัญหาใหญ่หลวงนี่เกิดขึ้นจากสภาวะของร่างกาย…
ชาวเน็ตทั้งหลายรู้สึกประทับใจในตัวขององค์หญิงสาม!
“องค์หญิงสามอ่านบทเรียนด้วยเหรอเนี่ย?!”
“ทีหลังถ้าใครบอกว่าทฤษฎีความรู้ขององค์หญิงไม่ได้เรื่อง ฉันจะจัดการมันเอง!”
“น่าทึ่งมาก! นี่คือการเอาทฤษฎีไปปฏิบัติใช้จริง ไม่ใช่เรื่องไร้สาระเลย!”
—
รอยยิ้มของคณบดีพูลแมนปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
แม้แต่คณบดีแกลลาเกอร์ยังอมยิ้ม ผู้นำค่ายทหารทั้งหลายต่างรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าจะต้องดึงผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ไปอยู่ในกำมือของพวกเขาให้ได้!
ศีรษะของจักรพรรดิเชิดสูงขึ้น!
ก่อนหน้านี้องค์หญิงสามไม่เคยถูกใครมองในแง่ดีเลยไม่ใช่เหรอ? แล้วมาดูรายงานผู้สมัครยื่นความจำนงในตอนนี้สิ ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?!
ฮึ่ม! เขามีเงิน! เขาจะสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งให้กับลูกสาวของตัวเองและจะให้เธอรับหน้าที่ดูแล!