สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ - ตอนที่ 113 การฝึกภาคสนามของการต่อสู้ชิงตำแหน่งหัวหน้า 25
“พวกเจ้าตั้งใจจะทำบ้าอะไรอีก? พวกเจ้าจะทำอะไรกับน้องสาว?!” คำพูดของจักรพรรดิดุดันราวกับค้อนแกร่งที่ทุบลงไปยังพวกเขาทั้งสองคน
องค์ชายทั้งสองรีบพูดแก้ต่างให้ตนเอง “เสด็จพ่อ พวกเราจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันครับ? ก่อนหน้านี้พวกเราหน้ามืดตามัวไป แต่ตอนนี้พวกเรากลับตัวกลับใจแล้ว พวกเราจะไม่ทำร้ายน้องสาวอีก!”
“กลับตัวกลับใจ?!” จักรพรรดิมองดูลูกชายทั้งสองที่กำลังปาดน้ำตา เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ “เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเสียเถอะ!”
“พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าพวกเจ้าทั้งสองทำอะไรไม่ดีใส่น้องสาวตัวเอง อย่ามากล่าวโทษพ่อ ถ้าวันหนึ่งพ่อพรากสมบัติกองมรดกทั้งหมดไปจากพวกเจ้า!”
องค์ชายทั้งสองตกตะลึง!
พวกเขารู้ดีว่าถึงท่านพ่อนั้นจะดูซื่อบื้อเพียงใด แต่ตามจริงแล้วเขาเป็นคนที่มีความคิด ขณะเดียวกันอย่ามองดูแต่ความกล้าหาญของท่านแม่ เพราะเธอแทบจะไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นในหลาย ๆ เรื่องด้วยซ้ำ
“ไปพบแม่ของพวกเจ้าซะ แม่คงอยากเจอพวกเจ้าเต็มทนแล้ว”
จักรพรรดิโบกมือให้พวกเขาทั้งสองออกไป
หัวหน้าพ่อบ้านเดินเข้ามาอีกด้านหนึ่งและเริ่มนวดไหล่ให้เขา “ฝ่าบาท ท่านพูดแรงเกินไปนะขอรับ!”
“อะไรกัน? เราก็พูดความจริงทั้งนั้น” จักรพรรดิส่ายหัวและถอนหายใจ “ถ้าพวกเจ้าพวกนั้นทำอะไรไร้สาระอีกครั้ง เราจะยึดกองมรดกคืนจริง ๆ”
องค์ชายทั้งสองเดินเคียงข้างกันไประหว่างทางเดินในราชวัง
สาวใช้บริเวณโดยรอบรู้สึกเขินอายขณะมองดูองค์ชายรูปงามทั้งสอง พวกเธอพากันเขินจนทำอะไรแทบไม่ถูก โดยหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากองค์ชายทั้งสอง ก้าวทะยานขึ้นไปสู่ตำแหน่งองค์หญิงผู้สูงศักดิ์และได้ใช้ชีวิตแบบชนชั้นสูง
น่าเสียดายที่องค์ชายทั้งสองกำลังอารมณ์เสียอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ใบหน้าของพวกเขายังไม่ปรากฏให้เห็นรอยยิ้มของความเป็นสุภาพบุรุษ
เขาประเมินสถานะของน้องสาวคนเล็กในหัวใจของเสด็จพ่อต่ำเกินไป
“คราวหน้าก็ระวังตัวด้วยล่ะ!” องค์ชายรองพูดออกมาอย่างประชดประชัน “อย่าให้เสด็จพ่อจับได้อีก”
“ฉันควรพูดแบบนี้กับนายมากกว่าไหม?!” องค์ชายใหญ่พูดเย้ยหยันอย่างเสียมารยาท
เมื่อพวกนั้นไปถึงพระราชวังของจักรพรรดินี ก็พบว่าจักรพรรดินีได้รออยู่ก่อนแล้ว
“เสด็จแม่” องค์ชายทั้งสองโค้งคำนับจักรพรรดินี
จักรพรรดินีมองดูพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้าโดนพ่อตำหนิมางั้นหรือ?”
องค์ชายทั้งสองพยักหน้าด้วยท่าทีนิ่งสงบ
“ดีจริงเชียว เป็นพี่ชายที่ดีแก่จักรวรรดิของเราอะไรเยี่ยงนี้ ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีทั้งนั้น!” จักรพรรดินีโกรธจัด เธอก้าวไปข้างหน้าและตบหน้าองค์ชายทั้งสอง
“ตอนที่พ่อของพวกลูกพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้ แม่เอาแต่เข้าข้างพวกลูก ทั้งยังบอกพ่อว่าลูกทั้งสองจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับน้องสาว แต่ตอนนี้ลูกทั้งสองกลับกล้าที่จะทำแบบนั้น!”
“เสด็จแม่…”
“อย่ามาเรียกฉันว่าแม่!” จักรพรรดินีประชดประชัน “ตอนนี้พวกเจ้าคงคิดว่าน้องสาวกำลังขัดขวางเส้นทางไปสู่บัลลังก์สินะถึงได้ทำแบบนี้ แล้ววันหนึ่งพวกเจ้าจะฆ่าพ่อฆ่าแม่เพื่อขจัดอุปสรรคของพวกเจ้าด้วยไหม?!”
“เสด็จแม่!”
“ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้น!”
องค์ชายทั้งสองรู้สึกตกใจจนรีบคุกเข่าลงและพูดอธิบาย “เสด็จแม่ ก่อนหน้านี้พวกเราทำลงไปไม่ทันคิด แต่ตอนนี้พวกเราจะไม่ทำแบบนั้นแล้วครับ! ได้โปรดให้อภัยพวกเราด้วยครับ!”
จักรพรรดินีเดินไปข้างหน้าลูกชายของเธอ จ้องมองพวกเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ปลายเท้าจะพุ่งออกไปเตะองค์ชายรอง
“อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้การกระทำลับหลังของเจ้าเชียว พวกเจ้าทั้งสองอย่าได้คิดเข้ามาแทรกแซงการแต่งงานของหลิงอวิ๋นเด็ดขาด!”
“เสด็จแม่ ได้โปรดฟังลูกอธิบายก่อน!”
“อธิบายอะไร? ส่งน้องสาวไปแต่งงานกับจักรวรรดิต่างดาว เพื่อให้วิกฤติการสืบทอดบัลลังก์ของพวกเจ้าคลี่คลายลง จากนั้นก็ปล่อยให้หลิงอวิ๋นพึ่งพาตัวเองน่ะเหรอ? ฮึ! คิดแผนมาดีนี่!”
“ในฐานะที่เป็นองค์ชาย ถ้าพวกเจ้าอยากจะสืบทอดบัลลังก์นัก พวกเจ้าจะต้องมีจิตใจเมตตาต่อจักรวรรดิของเราเสียก่อน พวกเจ้ารู้บ้างไหมว่าตอนนี้หลิงอวิ๋นมีบทบาทความสามารถยังไง?”
“น้องมีศักยภาพที่จะนำพาจักรพรรดิของเราไต่ระดับขึ้นไปอีกขั้น! แล้วพวกเจ้าล่ะ?!” จักรพรรดินีมองดูองค์ชายรอง “เจ้าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกลั่นแกล้งผู้คน แล้วจะนำพาประชาชนไปสู่ความเจริญได้ยังไง?!”
องค์ชายทั้งสองก้มหน้าลงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น
“เสด็จแม่ มันเป็นความผิดของพวกเราเอง!”
“ถ้ารู้ตัวว่าผิดก็ไปให้พ้นหน้าซะ! แม่จะไม่รับฟังคำขอโทษจากพวกเจ้าอีก แม่จะมองดูแต่การกระทำเท่านั้น”
จักรพรรดินีโบกให้ทั้งสองออกไป “ลูกทั้งสองคนโตแล้ว พ่อของลูกและแม่บังคับพวกลูกไม่ได้อีกต่อไป ได้แต่หวังว่าลูกทั้งสองจะคิดถึงผลเสียที่ตามมาก่อนที่จะลงมือทำอะไรอีก!”
“ยังไงซะลูกทั้งสองก็เป็นองค์ชาย ทุกอย่างย่อมส่งผลต่อจักรวรรดิของเรา!”
สวี่เจี้ยนอวิ๋นและสวี่รุ่ยอวิ๋นพยักหน้าและเดินจากไป
สวี่หลิงอวิ๋นไม่ได้รับรู้ถึงแผนการสมรู้ร่วมคิดของพี่ชายทั้งสองคนที่ปลุกเร้าไปทั่วจักรวรรดิในเวลานี้ เธอยังคงพาเพื่อนตัวน้อยไปรับประทานอาหารอย่างมีความสุข
เมื่อยามดึกมาถึง กองไฟก็ลุกโชนอีกครั้ง
ข้างนอกอากาศยังคงหนาวจัด แต่การจุดกองไฟได้ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นและนำความอบอุ่นมาสู่ทุกคน
ผู้คนจากฝั่งสีแดงที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม้ก็ถูกสวี่หลิงอวิ๋นเรียกออกมาข้างนอก
“ทำไมถึงเอาแต่ซ่อนตัวล่ะ?” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “ถึงพวกเราจะอยู่คนละทีมกัน แต่อย่าลืมว่าพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มาจากสถาบันเดียวกัน ออกไปนั่งคุยกันข้างนอกเถอะ”
“ถ้าอากาศดีขึ้นแล้ว พวกนายจะขับเครื่องจักรกลออกไปก็ได้นะ! แล้วพวกเราค่อยมาแข่งขันกันจริง ๆ จัง ๆ อีกที”
คำพูดของสวี่หลิงอวิ๋นทำให้ดวงตาของคนจากฝั่งสีแดงเปล่งประกาย! เธอจะคืนเครื่องจักรกล! และปล่อยให้พวกเขาไป!
“แต่อีกสองสามวันนี้ พวกนายคงยังออกไปไม่ได้หรอก ดูอากาศสิ ถ้าขืนออกไป พวกนายคงเอาชีวิตรอดไม่ได้”
สวี่หลิงอวิ๋นพลิกบาร์บีคิวในมือของเธอ บอกให้ทุกคนนั่งลง แล้วจึงก่อกองไฟเพิ่ม
เนื้อเสียบไม้มีเพียงพอแล้ว และเธอยังจัดเตรียมมันให้แก่ผู้คนจากฝั่งสีแดงอีกด้วย
ฉินหยวนและลุคเดินไปข้างหน้า ก่อนจะโค้งคำนับด้วยความซึ้งใจ “ขอบคุณท่านครับ!”
“ไม่ต้องขอบคุณ” ใบหน้าของสวี่หลิงอวิ๋นปรากฏขึ้นสั่นไหวอยู่ด้านหน้ากองไฟ “สองสามวันนี้พวกนายก็มาเล่นกับสมาชิกในทีมของฉันก่อนแล้วกัน”
“ไม่ต้องระแวงอะไรหรอก ยังไงทุกคนก็มาจากสถาบันเดียวกัน”
ผู้คนทั้งหลายจากฝั่งสีเขียวริเริ่มโบกมือให้พวกเขามานั่งด้วยกัน ตามที่สวี่หลิงอวิ๋นพูดไว้ พวกเขาทุกคนล้วนมาจากสถาบันเดียวกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักกันเลย!
ชาวเน็ตรู้สึกซาบซึ้ง
‘องค์หญิงสามอ่อนโยนเหลือเกิน!’
‘ฉันรู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป พวกคุณคิดว่าองค์หญิงสามจะเป็นคนใจกว้างขนาดนี้เลยเหรอ? เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?’
‘ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? เธอก็บอกอยู่ว่าจะให้พวกเขามาเป็นทาส แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากนี่ แถมเธอยังให้พวกเขาเรียนรู้วิธีสร้างบ้านหลบลมหนาวอีก ไหนจะทำอาหารให้พวกเขากิน ดูสิว่าตอนนี้หน้าของพวกเขากลมขนาดไหน!’
ชาวเน็ตทั้งหลายรู้สึกอิจฉา!
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่สวี่หลิงอวิ๋นพาคนจากฝั่งสีแดงและฝั่งสีเขียวออกไปหาเสบียงเพิ่มเติม จนกระทั่งวันที่ห้า อากาศเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นถึงสิบองศา ส่งผลให้หิมะบริเวณโดยรอบเริ่มละลาย โชคดีที่พวกเขาสร้างบ้านไม้ในพื้นที่เนินสูง ทำให้บ้านไม้เหล่านี้ไม่จมลงไปพร้อมกับกองหิมะ
สวี่หลิงอวิ๋นยังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้ และปล่อยทีมสีแดงไป
“เอาล่ะ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว อย่าหาว่าฉันไม่เตือน ถ้าเกิดคราวหน้าพวกนายถูกจับได้อีกครั้ง อย่าหาว่าฉันไม่ปรานีก็แล้วกัน”