สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ - ตอนที่ 159 ฉันคือเถ้าแก่เนี้ยที่อารยธรรมพื้นเมือง 14
และเมื่อการเต้นรำบนลานกว้างก็ได้ถูกจัดขึ้น ตั้งแต่ต้นมีเพียงกัปตันผู้แก่ชรากับหญิงชรากลุ่มหนึ่งเท่านั้น จากนั้นไม่นานชายชราและหญิงชราคนอื่นก็เข้ามาเสริม แม้แต่หญิงวัยกลางคนก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้น การเต้นรำบนลานกว้างก็ได้กลายมาเป็นกิจกรรมท้องถิ่น!
กลับกลายเป็นว่าผู้คนจากชนชั้นสูงที่ขับรถมากินเค้กของสวี่หลิงอวิ๋นได้มาเฝ้าดูกิจกรรมการเต้นรำบนลานกว้างนี้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนล้วนมีความเข้าใจส่วนลึกในการเต้นรำบนลานกว้าง และคิดว่ากิจกรรมนี้จะสามารถช่วยยืดหยุ่นร่างกายของพวกเขาได้!
ทำไมกัน? ก่อนหน้านี้พวกคุณก็เห็นว่าพ่อของสาวน้อยสวี่ต้องคอยพยุงไม้เท้าไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้เขากลับไม่ต้องใช้มัน และอาการไอของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง เดินเหินคล่องอย่างกับลม!
กล่าวได้ว่าตั้งแต่กิจกรรมเต้นรำบนลานกว้างถูกก่อตั้งขึ้น ชายชราและหญิงชราทั้งหลายก็มีกิจกรรมให้ทำร่วมกัน แม้ว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะแตกต่างกัน! แต่ตัวเลขของผู้ช่วยในโรงพยาบาลกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้เถียนอู่หลงรักการเต้นรำบนลานกว้างบ้า ๆ บอ ๆ นี่เป็นอย่างมาก เขาไม่มัวแต่นั่งดูรูปของหญิงชราที่อยู่ในกระเป๋าเสื้ออีกต่อไป เพียงแต่เรียนรู้วิธีการส่ายสะโพกโยกเอว หรือพูดคุยเกี่ยวกับการออกแบบท่าเต้นในครั้งต่อไปกับกลุ่มหญิงชรา
สวี่หลิงอวิ๋นถึงกับจ้างเด็กสาวที่มีประสบการณ์ด้านการเต้นมาช่วยแนะแนวการเคลื่อนไหวให้กับลุงป้าทั้งหลาย และคนชราเหล่านี้ต่างเรียนรู้อย่างรวดเร็ว!
ท่าเต้นทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่ พวกเขาร้องเพลงเต้นรำอย่างมีความสุขสนุกสนาน ทีมเต้นรำบนลานกว้างได้สัมภาษณ์กับแหล่งข่าวท้องถิ่น จนหลายเมืองได้เชิญทีมนักเต้นพวกนี้ไปทำการแสดงในเมืองของพวกเขา
เอาล่ะ แบบนี้คงจะทำเงินได้แล้วใช่ไหม?! และคราวนี้ครอบครัวของทีมนักเต้นไม่ได้ห้ามพวกเขาด้วยซ้ำ
ทั้งสามารถทำเงินได้ ทั้งได้ออกกำลังกาย แล้วทำไมจะไม่สนับสนุนล่ะ!?
เถียนอู่ตั้งชื่อให้กับทีมของเขาว่า ‘ทีมพระอาทิตย์ตกสุขสันต์!’
นายกเทศมนตรีจ้องมองเมืองแออัด จากนั้นจึงมองไปที่ ‘ร้านเค้กของสาวน้อยสวี่’ ที่กำลังพลุกพล่าน ช่างเป็นเด็กสาวที่เก่งนัก!
ตอนนี้เมืองขนาดเล็กถูกขยายออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากชนชั้นสูงบางส่วนได้เดินทางมาจากที่ต่างถิ่น เพื่อให้ชนชั้นสูงเหล่านี้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น พวกเขาจึงขยายถนน ปลูกต้นไม้และดอกไม้ไว้ริมสองข้างทาง
ลานบ้านของบ้านทุกหลังจะเต็มไปด้วยดอกไม้ ผักนานาชนิด และต้นไม้ที่ออกผล เมื่อลมพัดปลิวมา เมืองทั้งเมืองก็จะถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นหอมของละอองเกสรดอกไม้ จนทำให้ดวงตาของนักท่องเที่ยวเป็นประกาย
สวี่หลิงอวิ๋นถือโอกาสนี้เปลี่ยนโคมไฟตรงถนนที่อยู่บริเวณหน้าทางเข้าของร้านค้าเป็นรูปกวางน้อยน่ารัก การกระทำนั้นทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเลียนแบบเธอ เพื่อเพิ่มร่องรอยแห่งการจินตนาการให้มีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งเมือง
ท้องถนนบริเวณลานบ้านดูแปลกตาไป แสงไฟสีเหลืองจากตัวการ์ตูนติดอยู่ตามท้องถนน ขณะที่กลีบดอกไม้ร่วงหล่นลงมาจากบนฟากฟ้า อีกด้านหนึ่งของท้องถนนมีลานกว้างขนาดเล็กซึ่งเต็มไปด้วยฝูงชนที่กำลังเต้นรำอย่างมีชีวิตชีวา
บริเวณหน้าบ้านของแต่ละหลังมีทางเดินหินปูนที่มีสีฟ้าอมเทาทอดยาวไปถึงถนน ราวกับมีไว้เพื่อต้อนรับแขกจากแดนไกล
ควันจากปล่องเตาเผาลอยตัวขึ้นสูง สมกับเป็นโลกแห่งบทกวี
มันดูเป็นระเบียบ เรียบง่ายและแปลกตา ราวกับผู้คนไม่สามารถหาอะไรแบบนี้ได้จากที่อื่น
กวีเอกชนชั้นสูงแวะมาที่นี่และเขียนบทความเพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชนครั้นเมื่อกลับออกไป โดยมีข้อความว่า
‘เดิมทีผมเคยคิดว่าเมืองที่ต่ำต้อยเช่นนี้จะเต็มไปด้วยท่อระบายน้ำและท้องถนนที่สกปรก หรืออาจจะถูกห้อมล้อมไปด้วยชนชั้นล่างที่ขี้ประจบสอพลอ พวกที่มักจะเพ้อฝันถึงเรื่องที่ไม่มีวันเป็นจริงอย่างการก้าวกระโดดไปเป็นผู้สูงส่งในชั่วข้ามคืน’
‘แต่เมื่อผมได้มาถึงเมืองหวางเจียแห่งนี้ ผมจึงค้นพบว่ามันไม่เป็นความจริงเลย พวกเขาทำงานอย่างหนักและมีความสามารถ ไม่เคยมาล้อมรอบเพื่อตั้งคำถามกับพวกเรา อีกทั้งยังไม่เคยจ้องมองพวกเราด้วยสายตาที่คาดหวัง พวกเขามีเพียงรอยยิ้ม ผมรู้สึกมีความสุขมากที่ใกล้ชิดกับพวกเขา และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีความปรารถนาต่อชีวิตที่ไม่ใช่ของพวกเขาอีกแล้ว’
‘ทันทีที่แสงไฟยามค่ำคืนสว่างไสว ผู้เป็นแม่ทั้งหลายก็เริ่มส่งเสียงเรียกลูกของพวกเธอที่ยังคงวิ่งเล่นอยู่ด้านนอกจนลืมกลับมากินอาหารเย็นที่บ้าน ตอนนั้นดวงตาของผมเปียกปอน เพราะต่อให้พวกเราจะเหมือนกันหรือไม่ แต่พวกเราทุกคนล้วนโหยหาครอบครัว โหยหาคำพูดของแม่ที่บอกว่า ‘ถึงเวลากินข้าวแล้ว’!’
‘ผมเห็นคนชราทั้งหลายเต้นรำกันอยู่บนลานกว้าง พวกเขาเต้นรำกันอย่างเอาจริงเอาจริง อีกทั้งยังหลงรักในอาชีพของตนเอง พวกเราเคยคิดว่าการเต้นรำมีไว้สำหรับผู้คนจากชนชั้นสูงเท่านั้น แต่เมื่อผมได้เห็นการเต้นรำบนลานกว้าง ผมจึงอยากจะพูดไว้ตรงที่นี่เลยว่าผมคิดผิดไป! ตามจริงแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามล้วนสามารถเต้นรำได้ทั้งนั้น และเมื่อได้เห็นชนชั้นล่างพวกนั้นเต้นรำ ผมถึงกับคิดว่าการเต้นรำคือชีวิตของพวกเขา ราวกับดอกไม้ไฟที่กำลังเต้นรำ’
ข้อความนี้มีเพียงเท่านี้ แต่กลับถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
เมืองหวางเจียนั้นดีจริงเหรอ?
สมาชิกจากจักรวรรดิชิงเหย้ากว่าห้าสิบชีวิตที่กำลังซ่อนตัวจ้องมององค์หญิงสามของพวกเขา องค์หญิงสามารถปรับตัวเข้ากับทุกที่ที่เธอต้องการได้อย่างแท้จริง เมืองขนาดเล็กแห่งนี้โด่งดังไปทั่วทั้งทวีปโดยใช้เวลาไม่นานอย่างนั้นหรือ?
อาจจะถึงเวลาที่ต้องติดต่อกับเถ้าแก่เนี้ยแล้วหรือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้น ชนชั้นสูงจำนวนมากจะหายไป!
ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยเถอะ!
“พอได้อยู่ที่นี่นาน ๆ แล้วก็ไม่อยากจากไปไหนเลย” สวี่หลิงอวิ๋นถอนหายใจและทรุดตัวลงบนหน้าอกของโอคาซี ขณะพึมพำกับตนเอง
ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านนอกผลิบานไปด้วยผลไม้ ไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ว่ารสชาติของมันหวานแค่ไหน
“ถ้าท่านยังอยากอยู่ต่อ ผมอยู่กับท่านก็ได้นะครับ” โอคาซีลูบศีรษะของเธอ และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ช่างมันเถอะ เสด็จพ่อคงจะเป็นห่วงแย่แล้วใช่ไหม?” เธอยิ้มมุมปากขณะนึกถึงบิดาผู้เป็นจักรพรรดิที่มีลักษณะนิสัยเหมือนกับเฒ่าทารก
“ไม่รู้ว่าจักรวรรดิเอเดนจะใช้โอกาสนี้โจมตีพวกเราหรือเปล่า? เพราะยังไงซะองค์ชายรัชทายาทของพวกเขาก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเพราะฉัน”
“คงไม่หรอกครับ การที่สองจักรวรรดิจะทำสงครามกันมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ” โอคาซีลูบผมยาวของเธออย่างอ้อยอิ่ง “แต่อาจจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้แทน”
“ประโยชน์อะไรอีก! ลูกชายหายตัวไปขนาดนี้ ยังไม่คิดจะเริ่มทำสงครามอีกเหรอ?” สวี่หลิงอวิ๋นพึมพำ
“ตราบใดที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าแลนเซล็อตเสียชีวิตลงแล้ว ก็ยังมีช่องว่างให้ทั้งสองจักรวรรดิทำการต่อรอง” โอคาซีกล่าว “แต่กลัวว่าพวกเขาจะถูกใส่ร้ายป้ายสี”
จักรวรรดิเอเดนจะถูกหลอกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? คำตอบคือไม่ง่ายอย่างแน่นอน!
เพียงแต่ด้านนอกยังมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความสับสน อาทิ การเคลื่อนไหวกองกำลังไปยังขอบเขตการปกครองของจักรวรรดิชิงเหย้า ทำให้ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังตึงเครียด
ประชากรของทั้งสองจักรวรรดิต่างมีท่าทางดุดัน และอยู่ไม่เป็นสุข
ขณะที่จักรพรรดิทั้งสองกำลังพูดคุยกันระหว่างกินปลาหมึกกระป๋อง
“โอ้ ข้าต้องขอโทษด้วยนะท่านพี่! เป็นความผิดของข้าเอง!” พ่อจากราชวงศ์สวี่กล่าวขึ้นมาอย่างโศกเศร้า ขณะกินปลาหมึกกระป๋อง “ถ้าข้ารู้ว่าพวกนั้นจะเหิมเกริมขนาดนี้ ข้าคงกำจัดพวกมันเสียก่อน!”
“จักรวรรดิไหนบ้างเล่าที่ไม่มีสิ่งชั่วร้ายหลงเหลืออยู่? ว่าแต่ลูกชายของข้าก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียวในราชวงศ์ ถ้าไม่อยากแต่งงาน ข้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ตอนนี้ยังไม่เป็นไร ลูกของเราแค่หายตัวไปเท่านั้น!”
จักรพรรดิเอเดนกำลังกล่าวถึงความหมายบางอย่าง “ข้าคงไม่โทษท่านแน่นอน แต่ยังไงเราก็ควรจะให้คำอธิบายกับพสกนิกรทั้งหลายของเราไม่ใช่เหรอ?”
“ข้ารู้ ข้ารู้! พวกเราก็แค่ให้คนทำยุทธการสนามเพลาะกันเท่านั้น ใครบ้างที่จะดูกันไม่ออก? ไม่ต้องกังวลไป ทันทีที่ยาของพวกเราได้รับการค้นคว้าเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะขายให้ท่านในราคาต้นทุน!”
“ตกลงตามนี้!”
“ตกลงนะ!”
ทั้งสองส่งเสียงเคี้ยวแจ๊บ ๆ ขณะกินไปได้สักพักหนึ่ง ก่อนที่จักรพรรดิเอเดนจะกล่าวถามว่า “พวกท่านจับฆาตกรได้หรือยัง?”
“พวกเราหาหลักฐานเจอแล้ว รอดูว่าหลานเจ้าพวกนั้นยังจะกล้าเล่นลิ้นอยู่อีกไหม?” สวี่เทียนอวี๋กล่าวอย่างขมขื่น “ตอนนี้พวกมันถูกคุมขังอยู่ เจ้าคนสารเลวพวกนั้นยังจะกล้ายื่นอุทธรณ์อีกหรือ? ข้าจะลองให้โอกาสดูว่าพวกมันจะพูดอะไร!”