สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ - ตอนที่ 209 โบยบินกันเลย เจ้าหนู! 3
ตอนที่ 209 โบยบินกันเลย เจ้าหนู! 3
มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลายเป็นผู้มีผลประโยชน์มากที่สุด ทว่ามันก็เป็นไปได้ทั้งสองทาง
หากพลังจิตของนักเรียนเหล่านั้นหายไปโดยบังเอิญ พวกเขาจะสามารถกอบกู้พลังจิตคืนมาอีกครั้งได้ เพราะสวี่หลิงอวิ๋นเก็บรักษาร่องรอยประทับเหล่านั้นไว้ให้นักเรียน
“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนจากมหานทีแห่งดวงดาวจะปลูกฝังการถ่ายทอดพลังจิตให้แก่ผู้อื่น มันคือการทำขวดเลือดให้ตัวเองสินะ!”
“แต่ว่าฉันชอบขวดเลือดแบบนี้จัง!” สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกปีติยินดี
หลังจากทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งคืน นักเรียนชั้นปีหนึ่งทั้งหลายก็ถูกเธอทิ้งรอยประทับเอาไว้จนเสร็จ เหลือเพียงสอนพวกเขาถึงขั้นตอนปฏิบัติเท่านั้น
รุ่งอรุณ นักเรียนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งตื่นขึ้นมาเป็นอันดับแรก ลูบศีรษะที่ปวดร้าวของตัวเองเบา ๆ นั่งครุ่นคิดอยู่หนึ่ง ก่อนจะค้นพบว่าพวกเขาผล็อยหลับไปบนพื้น
ส่วนองค์หญิงสามหาวเล็กน้อย พยักหน้าให้กับพวกเขาพร้อมกับลูบศีรษะของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะผล็อยหลับไปในทันทีเช่นเดียวกัน
สำหรับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น พวกเขายังคงนอนหลับอยู่บนพื้น บางคนถึงกับละเมอพูดขณะหลับตา
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา?” นักเรียนจำนวนหนึ่งลุกขึ้นและสัมผัสศีรษะที่คล้ายจะระเบิดออกมา
“ตื่นกันแล้วเหรอ?” สวี่หลิงอวิ๋นบิดตัวเล็กน้อย “ฉันจะไปงีบสักหน่อย พวกนายดูแลเพื่อนคนอื่นด้วยล่ะ ถ้าพวกเขาตื่นแล้วก็มาปลุกฉันที ฉันมีเรื่องที่จะประกาศให้ทุกคนรับรู้”
จากนั้นเธอจึงเดินโซซัดโซเซไปที่มอเตอร์ไซค์ลอยพื้น และบินกลับไปที่หอพัก
“โอ๊ย ฉันปวดหัว!” รุยถูศีรษะขณะจ้องมองหัวหน้าจากไป และพึมพำว่า “แต่ว่า มันเป็นเครื่องดื่มที่เจ๋งดีแฮะ! อย่างกับได้กระพือปีกเหมือนนางฟ้าแน่ะ!”
“มันทำให้คนหลงลืมทุกอย่าง ดีจังเลย แต่ว่าร้อนแรงไปหน่อย!” โชคดีที่เครื่องดื่มเข้ากันได้ดีกับเนื้อบาร์บีคิว
ลุคที่เดินตามหลังมาเม้มริมฝีปาก และนึกถึงความรู้สึกนั้น
ร่างบางรู้สึกราวกับกำลังโบยบิน ปัญหาทุกอย่างถูกลืมเลือน ความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมาจางหายไป
เป็นของที่ดีจริงเชียวนะ…
“องค์หญิงสามไปได้ของพรรค์นั้นมาจากไหน? อยากลองมากกว่านี้อีกแฮะ” ลุคกล่าว “มันคงดีกว่านี้ถ้าทำให้มันมีรสหวาน”
“นายพูดถูก!” ฉินหยวนและลุคต่างเข้าใจกันและกัน “แต่ถ้าเป็นรสชาติที่ร้อนแรงก็ดีเหมือนกันนะ นายไม่รู้หรือไงว่ามันเหมือนกับโดนไฟแผดเผา จนท้องข้างในของฉันร้อนระอุไปหมดเลยล่ะ”
“เยี่ยมเลยเนอะ!”
แน่นอนว่าแอลกอฮอล์เปรียบดั่งคู่หูของผู้ชายที่ตกหลุมรักความแผดเผาตั้งแต่ครั้งแรกที่ดื่มด่ำ
“ทำไมพวกเขายังไม่ตื่นอีก?” พวกเขาจ้องมองนักเรียนทั้งหลายที่หลับอยู่ด้านข้าง พวกเขายังคงรู้สึกปวดศีรษะอยู่ ก่อนจะเหลือบมองเวลาว่าจวนจะต้องเข้าเรียนแล้ว
“องค์หญิงสามบอกว่าได้บอกอาจารย์แล้วว่าวันนี้พวกเราจะไม่เข้าเรียน” เบนเน็ตได้รับข้อความดังกล่าว และเมื่อเปิดอ่าน จึงค้นพบว่ามันเป็นข้อความจากหัวหน้า
“ดีเลย! วันนี้จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเฮอร์!” นักเรียนทั้งหลายตื่นขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงของเบนเน็ต แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ทว่าปากของพวกเขากลับโพล่งขึ้นมาเร็วกว่าสมอง พวกเขาดีใจ ปรบมือและยิ้มด้วยความตื่นเต้น
“เฮอร์!” ลุครู้สึกโกรธจัดเมื่อได้ยินชื่อของเฮอร์!
“ใจเย็นก่อน หัวหน้ากลับมาแล้ว เฮอร์คงไม่มีทางแกล้งพวกเราได้อีกนาน” ลองมองดูสิว่าเยลในตอนนี้โศกเศร้ามากแค่ไหน
ไม่เพียงแต่ถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูล แต่ตอนนี้ยังถูกนักเรียนชั้นปีที่สองทุกคนเยาะเย้ยอีกด้วย กล่าวได้ว่าเป็นคนชั่วที่ตกอับ
“ปีสองพวกนั้นน่าขยะแขยงชะมัด! ถึงเยลจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน แต่พวกเขาก็เลือกเยลมาเป็นหัวหน้าเองด้วยซ้ำ แล้วทำไมเขาถึงได้ตกต่ำขนาดนี้?!”
หากวันหนึ่งองค์หญิงสามสูญเสียความแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะยังจงรักภักดีต่อเธอ!
“เยลทำตัวเองต่างหาก! ฮึ่ม!” รุยรู้สึกเห็นอกเห็นใจเยลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันของเขา แต่ก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองเช่นกัน
นักเรียนที่ตื่นขึ้นมาแล้วคอยดูแลนักเรียนที่ยังหลับอยู่
ขณะเดียวกัน แขนกลทั้งหลายแอบย่องไปตั้งหม้อขนาดใหญ่ และเริ่มต้มน้ำ
ต้มเมล็ดข้าว เนื้อบด ขิงที่หั่นเป็นลูกเต๋า…
หลังจากนั้นไม่นาน ข้าวต้มเนื้อข้น ๆ ก็พร้อมเสิร์ฟเรียบร้อย
นักเรียนที่ผล็อยหลับไปบนลานกว้างถูกกลิ่นหอมปลุกขึ้นมา
“อืม ดูน่าอร่อยจัง!” เขาเหล่มองเล็กน้อยทั้งที่ดวงตายังไม่เปิดเต็มที่ ทว่าน้ำลายกลับไหลออกมาจากปากแล้ว
เนื่องจากอาหารเมื่อคืนย่อยหมดแล้ว กระเพาะจึงว่างเปล่า และตอนนี้พวกเขาต้องการอาหารมาเติมเต็มอีกครั้ง
ข้าวต้มเนื้อถ้วยนี้มาได้ทันเวลาพอดี!
นักเรียนตื่นขึ้นมาพร้อมกับข้าวต้มเนื้อที่กำลังเริ่มแจกจ่าย พวกเขารีบเข้าไปต่อแถวตามสัญชาตญาณ ก่อนจะล้างมือและลืมตาเสียด้วยซ้ำ
“พอหัวหน้ากลับมาแล้วมีความสุขจัง!” พอได้กินข้าวต้มเนื้อนี้แล้วก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในท้องที่สุขใจนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ
“นั่นน่ะสิ!” จ้องมองโต๊ะที่คุ้นเคยด้วยความโศกเศร้า “ไม่รู้ว่าหัวหน้าจะหายไปไหนอีกไหม ต้องไปสร้างโรงเรียนอีกหรือเปล่า”
“เหอะ!”
พอมองข้าวต้มในถ้วยนี้แล้วก็รู้สึกแย่ชะมัด!
“โอ๊ย หิวจะตายอยู่แล้ว!” สวี่หลิงอวิ๋นตื่นขึ้นมาหลังจากผล็อยหลับไปเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อคำนวณเวลาดู นักเรียนทั้งหลายคงจะตื่นขึ้นมากันแล้ว
เธอขับมอเตอร์ไซค์ลอยพื้นออกไปยังลานกว้างอีกครั้ง และมองดูทุกคนถือถ้วยใบใหญ่ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
“หัวหน้านี่!” นักเรียนทั้งหลายรู้สึกดีใจมากเมื่อเห็นสวี่หลิงอวิ๋นกลับมาที่นี่!
“ว่าไงทุกคน! รีบกินข้าวต้มเร็วเข้า หลังจากกินกันเสร็จแล้ว ฉันมีบางอย่างที่สำคัญอยากจะบอกให้ทุกคนรับรู้!” สวี่หลิงอวิ๋นรับถ้วยข้าวต้มที่แขนกลส่งมาให้ และลองชิมสองคำ อา! ค่อยยังชั่ว!
บางอย่างที่สำคัญ? หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวถึงสิ่งสำคัญ แสดงว่ามันต้องสำคัญมากแน่ ๆ
‘ง่ำ ๆๆๆ’ นักเรียนทั้งหลายรีบเขมือบข้าวต้มเนื้อเข้าไปในท้องของพวกเขาอย่างสุดความสามารถ ไร้เสียงอื่นใดบนลานกว้าง มีเพียงเสียง ‘ง่ำ ๆ’ ที่ดังขึ้นขณะกินข้าวต้มเนื้อเท่านั้น
หลังจากข้าวต้มหมดแล้ว แขนกลก็จัดแจงวางถ้วยกับตะเกียบของทุกคนอย่างเรียบร้อย ก่อนจะถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบ
“เมื่อวานฉันไม่ได้ฉุกคิดให้พวกนายดื่มเหล้าขาว แต่อันที่จริงฉันตั้งใจต่างหาก” สวี่หลิงอวิ๋นนั่งลงบนเวทีสูงและมองดูนักเรียนที่อยู่ด้านล่าง “ฉันไม่รู้ว่าพวกนายจะเห็นด้วยหรือเปล่า แต่ฉันตั้งใจทำเพื่อพวกนาย เพราะงั้นฉันหวังว่าพวกนายจะไม่โกรธกัน”
จบแล้วเหรอ? เธอทำอะไรลงไป? นักเรียนทั้งหลายรู้สึกมึนงง
“ไม่เป็นไรครับ! สิ่งที่หัวหน้าทำลงไปมันจะต้องดีกับพวกเราแน่!”
ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาจากฝูงชน นักเรียนทั้งหลายก็พยักหน้าเห็นด้วย และจ้องมองเธออย่างเชื่อใจ
สวี่หลิงอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “การที่พวกนายเชื่อใจฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกอับอายมาก”
“ฉันทิ้งรอยประทับไว้ในสมองของพวกนาย มันคือเมล็ดพันธุ์แห่งพลังจิต”
มันคืออะไร? นักเรียนรู้สึกสับสน พวกเขารู้ความหมายของคำศัพท์แต่ละคำ แต่ทำไมถึงไม่สามารถเข้าใจมันได้เลย?!
สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองเขา และรับรู้ว่าพวกเขาคงไม่สามารถเข้าใจได้ และไม่สนใจเช่นเดียวกัน
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่พวกนายได้รับรอยประทับพลังจิตแล้ว พวกนายจะสามารถฝึกฝนตามเทคนิคการฝึกฝนพลังจิตของฉันได้”