สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 1.1 ข้ามเวลามาเป็นขันที (1)
เล่อเหยาเหยาคิดว่าขณะนี้ตนเองได้ตกอยู่ในโศกนาฏกรรมอันแสนโหดร้ายทารุณ แม้เธอจะขยี้ตาไม่หยุด แต่เงาของคนที่ปรากฏอยู่ในสระน้ำก็ไม่ใช่ใบหน้าเดิมที่แท้จริงของตนเอง
ถึงแม้ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในสระน้ำนั้น จะงดงามอย่างมากก็ตาม
ใบหน้ารูปไข่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ คิ้วที่งอโค้งสีดำสนิท จมูกโด่งดูเฉิดฉาย ริมฝีปากบางที่แดงสดใส พร้อมกับแสงอันวิบวับของดวงตากลมโตที่งดงามเป็นพิเศษคู่นั้นอีก เมื่อประกอบกันแล้วช่างสมบูรณ์แบบเสียจริง!
เล่อเหยาเหยาเคยเห็นผู้หญิงที่สวยสดงดงาม ปรากฏบนจอโทรทัศน์มามากมาย แต่กลับเทียบไม่ได้กับความงดงามที่อยู่ตรงหน้านี้ได้เลย
ทำให้เล่อเหยาเหยาตกตะลึงอยู่นานกว่าจะได้สติกลับคืนมา แม้ว่าเงาที่ปรากฎอยู่ในสระน้ำนั้นจะงดงามมาก แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครช่วยบอกเธอที
เธอแค่อาศัยโอกาสช่วงปิดเทอมฤดูร้อนไปเล่นบันจี้จัมพ์กับเพื่อนร่วมชั้น ทำไมแค่เธอหลับตาแล้วกระโดดลงมา พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็มาปรากฏตัวในสถานที่แปลกตาแห่งนี้แล้ว
แล้วเพื่อนร่วมชั้นของเธอล่ะอยู่ที่ไหน นี่มันอะไรกัน แล้วตัวเธอเองอยู่ที่ไหนกันแน่
สิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาสงสัยมากที่สุดก็คือ แม้ตอนนี้ตัวเธอจะอยู่ในร่างที่งดงามมากขนาดนี้ ทำไมบนตัวของคนผู้นี้ถึงสวมชุดขันทีสีน้ำเงินเข้มล่ะ เมื่อครู่นี้เธอได้ตรวจสอบแล้วว่าเจ้าของร่างนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เล่อเหยาเหยาตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก หลังจากที่หายจากการมึนงงแล้ว เธอจึงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือ…
เธอข้ามเวลามาแล้ว!
สวรรค์!
แม้ปกติเวลาที่เธอเบื่อหน่ายจะชอบอ่านนิยายประเภทข้ามเวลาพวกนั้น ทั้งคิดว่าผู้หญิงพวกที่ข้ามเวลามานั้น น่าตื่นเต้นและน่าสนใจมาก แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตนเองก็จะสามารถข้ามเวลามาตามกระแสแบบนี้ได้ด้วย
หลังจากหายจากการตกใจแล้ว เล่อเหยาเหยาจึงทำได้เพียงยอมรับความจริง แล้วค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง
อันที่จริงนิสัยของเธอก็เป็นแบบนี้ เธอสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างไรเมื่อเรือเข้าเทียบท่า หัวของเรือก็จะตรงเอง [1] ในโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ใหญ่เกินไป เมื่อข้ามเวลามาแล้ว ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้อย่างมีความสุขก็แล้วกัน
ถึงแม้ต่อไปนี้ เธอจะไม่ได้พบเจอกับเพื่อนร่วมชั้นและพ่อแม่ที่ตัวเองรักอีกแล้ว…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย แต่ว่าเธอเสียใจอยู่ได้ไม่นาน หูของเธอก็พลันได้ยินเสียงร้องอุทานดังเข้ามา จนทำให้เธอสะดุ้ง ตื่นตกใจอย่างมาก
“เสี่ยวเหยาจื่อ ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่เอง ให้ข้าตามหาอยู่ตั้งนาน”
คนที่ปรากฏตัวเข้ามาเป็นขันทีน้อยผู้หนึ่ง ที่น่าจะมีอายุราวสิบห้าสิบหกปี ซึ่งใกล้เคียงกับเล่อเหยาเหยา อีกทั้งยังสวมชุดขันทีสีน้ำเงินเข้มเช่นกัน เขาถือได้ว่ามีรูปร่างหน้าตาที่งดงามเฉิดฉาย ผิวเนียนนุ่ม ทำให้เล่อเหยาเหยาต้องมองด้วยความชื่นชม
คนที่ปรากฎตัวมาคือขันทีตัวจริงเสียงจริง เหมือนที่เธอเคยเห็นผ่านทางโทรทัศน์มานับครั้งไม่ถ้วน นี่เหมือนเป็นหญิงสาวขึ้นเกี้ยวแต่งงานเป็นครั้งแรก![2]
ถึงตอนนี้เธอเองก็เป็นขันที แต่ก็เป็นแค่ขันทีตัวปลอมเท่านั้น
เขาคนนี้คือใครกันแน่ แม้ว่าเธอจะข้ามเวลามาอยู่ในร่างนี้ แต่กลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับร่างนี้อยู่เลยสักนิดเดียว
ดังนั้นเมื่อขันทีน้อยผู้นั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว เล่อเหยาเหยาก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาคือใคร จึงได้แต่เลียนแบบบทในนิยายที่เคยอ่าน คือแกล้งสูญเสียความทรงจำ!
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเธอก็เริ่มแสดงทันที!
เล่อเหยาเหยาจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จากนั้นก็ยืดมือที่เรียวยาวออกไปทันที โดยใช้มือข้างหนึ่งจับที่บริเวณหน้าผากของตัวเอง แล้วแกล้งทำเป็นเจ็บปวดทรมาน
อาจเป็นเพราะว่าเธอเข้าร่วมกิจกรรมแสดงละครในโรงเรียนอยู่บ่อยๆ จึงแสดงออกมาได้อย่างแนบเนียน ดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
“โอ๊ย ข้าปวดหัวจังเลย นี่เจ้าเป็นใคร ทำไมข้าถึงจำอะไรไม่ได้เลย ข้าคือใครกัน”
“เสี่ยวเหยาจื่อ นี่เจ้าเป็นอะไรไป ข้าคือเสี่ยวมู่จื่อไงล่ะ เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจซิ”
เมื่อเห็นใบหน้าของเธอดูเจ็บปวดทรมานมาก เสี่ยวมู่จื่อก็ยิ่งมีสีหน้าตกใจ แววตาปรากฏความกังวลออกมา จนทำให้เล่อเหยาเหยามองดูแล้ว รู้สึกผิดในใจขึ้นมา
เขาดูใส่ใจตนเองอย่างจริงใจเช่นนี้ แต่ว่าตัวเธอเองกลับหลอกลวงเขา
คำพูดที่เอ่ยออกไปเมื่อครู่นั้น ก็ยังถือว่าส่วนหนึ่งนั้นคือความจริง เธอไม่รู้จริงๆ ว่าร่างกายที่ตนเองครอบครองอยู่ในขณะนี้ มีสถานภาพเป็นยังไงกันแน่ เพราะฉะนั้นจึงต้องแกล้งทำเป็นสูญเสียความทรงจำ
อีกทั้งตอนนี้ศีรษะของเธอเองก็เจ็บปวดอย่างมาก เมื่อครู่เธอเองก็สอดส่องสายตาสำรวจไปทั่วทุกด้านแล้ว
เห็นเพียงที่นี่ค่อนข้างลับตาผู้คน ด้านข้างของเธอมีกำแพงสูงล้อมรอบอยู่ มีเสียงผู้คนที่คึกคักมีชีวิตชีวาแว่วมาจากด้านนอก จึงเดาว่าอีกฝั่งด้านนอกกำแพง น่าจะเป็นถนนใหญ่ และที่นี่น่าจะเป็นด้านหลังของบ้าน
ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ และศีรษะยังกระแทกเข้ากับกระเป๋าใบหนึ่งจนเจ็บปวดอย่างมากด้วย
จากการคาดเดาของเธอ เจ้าของร่างเดิมนี้ น่าจะคิดแอบหนีออกไปทางกำแพงด้านนี้ แต่กลับไม่ระมัดระวังจนตกลงมา และก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด เธอถึงได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
แล้วเจ้าของร่างนี้ ตัวจริงไปอยู่ที่ไหนกัน นี่ก็เป็นเรื่องที่เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ตอนนี้เธอแค่อยากรู้ว่า เจ้าของร่างนี้เป็นใครกันแน่ เพราะเธอจะได้ใช้ชีวิตแทนเจ้าของร่างนี้ต่อไป
ยังไงเมื่อเธอข้ามเวลามาอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้ว ถ้าไม่สอบถามดู คงยากที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังคิดบางอย่างอยู่นั้น เสี่ยวมู่จื่อที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ หลังจากหายจากอาการตกใจแล้ว จู่ ๆ เขาก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงพลันเคร่งขรึมลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าโกหกข้าอยู่ใช่หรือไม่ เจ้าแกล้งทำเป็นโง่เหรอ ที่จริงแล้วเจ้าไม่ได้สูญเสียความทรงจำไปจริงๆ ใช่หรือไม่”
“เอ่อ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างมาก คนตรงหน้านี้มองดูยังไงก็เป็นแค่ขันทีโง่ๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงฉลาดแบบนี้ หรือว่าฝีมือการแสดงของเธอไม่ได้เรื่อง ถึงหลอกเขาไม่ได้!
ขณะที่กำลังตกใจ เล่อเหยาเหยาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร ก็เห็นเสี่ยวมู่จื่อพลันถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยเบาๆกับเธอ สายตาและสีหน้าที่มองเธอ ยังเห็นอกเห็นใจอย่างที่สุด
“เสี่ยวเหยาจื่อ ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร ก็หลบไม่พ้นหรอก ใครให้เจ้าเคราะห์ร้ายจับฉลากได้ จนถูกมอบหมายให้ต้องไปปรนนิบัติรุ่ยอ๋องเป็นเวลาหนึ่งเดือน รอให้ถึงการจับฉลากในเดือนหน้า เจ้าก็ค่อยเลือกจับให้ดี อาจจะไม่เคราะห์ร้ายต้องไปปรนนิบัติรุ่ยอ๋องอีกครั้งหรอก”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวมู่จื่อก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แต่ว่าคำพูดของเขากลับทำให้เล่อเหยาเหยายิ่งรู้สึกสงสัยงงงวยขึ้นมา
เธอจึงกะพริบตากลมโตของเธออยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“รุ่ยอ๋องน่ากลัวมากหรือ” ทำไมฟังจากที่เขาพูดแล้ว เหมือนรุ่ยอ๋องนั้นจะมีหน้าตาคล้ายอสุรกายที่มีสามหัวหกแขนอย่างนั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อก็แสดงท่าทางที่ดูตกตะลึงจนเกินจริงอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เริ่มที่จะเชื่อคำพูดเมื่อครู่นี้ของเล่อเหยาเหยาแล้ว
“สวรรค์ เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าสูญเสียความทรงจำไปจริงๆ รุ่ยอ๋องคือใคร เจ้าจำไม่ได้จริงๆ หรือ”
เสี่ยวมู่จื่อเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ ซึ่งเล่อเหยาเหยาก็เพียงส่ายหน้าตอบไปตามความจริง
เมื่อเห็นแบบนี้ เสี่ยวมู่จื่อจึงทำได้เพียงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรุ่ยอ๋องและสถานภาพของเจ้าของร่างที่เล่อเหยาเหยาอาศัยอยู่ในตอนนี้ให้เธอฟัง ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขารู้ เขาก็เล่าออกมาจนหมด
[1] เมื่อเรือเข้าเทียบท่า หัวของเรือก็จะตรงเอง หมายถึงปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ
[2] หญิงสาวขึ้นเกี้ยวแต่งงานครั้งแรก หมายถึง คนที่ทำอะไรเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน