สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 1.2 ข้ามเวลามาเป็นขันที (2) + ตอนที่ 2 ปรนนิบัติรุ่ยอ๋อง
- Home
- สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!
- ตอนที่ 1.2 ข้ามเวลามาเป็นขันที (2) + ตอนที่ 2 ปรนนิบัติรุ่ยอ๋อง
ตอนที่ 1 ข้ามเวลามาเป็นขันที (2)
เดิมทียุคสมัยนี้เรียกกันว่ายุคสมัยแห่งราชวงศ์เทียนหยวน เป็นหนึ่งในยุคสมัยที่ไม่ได้มีในประวัติศาสตร์
ฮ่องเต้ที่ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่มีพระนามว่าเหลิ่งจวิ้นเทียน ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ทรงงานราชการอย่างแข็งขัน ทรงรักประชาชน ถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่มีพระปรีชาสามารถพระองค์หนึ่ง ที่ได้รับการเคารพรักจากประชาชน
และฮ่องเต้ทรงมีพระอนุชาหนึ่งพระองค์ นั่นก็คือรุ่ยอ๋อง หรือเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เจ้าของตำหนักอ๋องแห่งนี้
แม้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋กับฮ่องเต้จะทรงไม่ได้ถือกำเนิดจากพระมารดาคนเดียวกัน แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมากตั้งแต่ทั้งสองพระองค์ยังทรงพระเยาว์
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ลักษณะนิสัยของฮ่องเต้และรุ่ยอ๋อง กลับเหมือนหันรถขึ้นเหนือเพื่อมุ่งลงใต้! [1] คนหนึ่งคือฟ้า คนหนึ่งคือดิน!
หากเอ่ยว่าฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน คือแสงอาทิตย์ที่สาดส่องในเดือนสาม เช่นนั้นรุ่ยอ๋องก็คือลมหนาวที่พัดผ่านมาในฤดูหนาวตอนเดือนสิบสอง ที่ทำให้ผู้คนหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก
ส่วนเสี่ยวมู่จื่อกับเจ้าของร่างนี้ของเธอ ได้ถูกส่งตัวมาที่วังรุ่ยอ๋องเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้
เพียงแต่พวกเขาล้วนต้องทำงานจำพวกกวาดพื้น งานจุกจิกที่อยู่ภายนอกตำหนักมาโดยตลอด ไม่เคยได้เจอกับรุ่ยอ๋องที่กล่าวขานกันผู้นั้นเลย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทว่ากลับได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับรุ่ยอ๋องคนนี้มาไม่น้อยทีเดียว
ลือกันว่ารุ่ยอ๋องผู้นี้หน้าตางดงามผิดคนธรรมดา หล่อเหลาไร้ที่ติ เต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา
แม้รุ่ยอ๋องจะมีทั้งความรู้ความสามารถและรูปร่างหน้าที่เพียบพร้อม แต่ทว่านิสัยกลับโหดเหี้ยมไร้ความปรานี อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้
แค่ทำให้เขาไม่พอใจเพียงเล็กน้อย การถูกโบยถือเป็นโทษที่เบาที่สุดแล้ว ซึ่งต่างพูดกันเซ็งแซ่ว่ากระทั่งชีวิตเล็กๆ ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้
ถึงอย่างไรในตำหนักอ๋องนี้ ชีวิตของบ่าวไพร่ก็ต่ำต้อยไม่มีความสำคัญอยู่แล้ว แม้เสียชีวิตไปก็นำไปทิ้งที่ป่าช้าก็ถือว่าจบเรื่องแล้ว
เมื่อเดือนที่แล้ว มีขันทีน้อยคนใหม่เข้ามา ไม่ระมัดระวังทำถ้วยน้ำชาหล่นต่อหน้ารุ่ยอ๋อง เขาจึงสั่งประหารขันทีคนนั้นทันที
ศีรษะของขันทีน้อยผู้นั้น จึงกลิ้งจากศาลาตกลงไปในสระบัว ต่อมาพ่อบ้านสั่งคนลงไปงมค้นหาทั้งวันทั้งคืน จึงเอาศีรษะของขันทีนั้นขึ้นมาได้
ภายหลังที่ศาลาแห่งนั้นก็เริ่มมีผีออกอาละวาด
หลายวันก่อนมีคนเดินผ่านสระบัวตอนกลางคืน ได้ยินเสียงของขันทีน้อยที่เสียชีวิตไปแล้วผู้นั้น ที่กำลังตามหาศีรษะของตนเองอยู่เข้า จนทำให้ผู้คนแตกตื่นไปทั่ววังรุ่ยอ๋อง
สุดท้ายบ่าวรับใช้ในวังรุ่ยอ๋อง ก็ระมัดระวังกันอย่างมาก จนแทบไม่กล้าที่จะหายใจ ดังนั้นจึงมีขันทีน้อยหลายคนที่ตกใจเสียขวัญจนเสียสติไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อบ้านจึงอับจนหนทาง เมื่อไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปปรนนิบัติรุ่ยอ๋อง
เขาจึงได้คิดวิธีการหนึ่งออกมา นั่นคือทุกเดือนทุกคนร่วมกันจับฉลาก ถ้าผู้ใดจับได้ฉลากที่ต้องปรนนิบัติรุ่ยอ๋อง ก็ต้องปรนนิบัติรุ่ยอ๋องหนึ่งเดือน เดือนถัดไปถึงจะกลับมาจับฉลากใหม่อีกรอบ
หากแต่เดือนนี้ เจ้าของร่างนี้ของเล่อเหยาเหยา โชคร้ายอย่างมากจับได้ฉลากที่ต้องปรนนิบัติรุ่ยอ๋อง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เธอจึงหวาดกลัว คิดหนีหายเข้ากลีบเมฆไป ทว่าโชคร้ายตกลงมาจากกำแพง จนทำให้ต้องจากโลกนี้ไปแบบนี้
แน่นอนว่าเรื่องนี้คือสิ่งที่เล่อเหยาเหยาได้วิเคราะห์จากคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อที่ได้ฟังมา
แต่ทว่าขณะที่เล่อเหยากำลังฟังข้อมูลจากเสี่ยวมู่จื่อ พร้อมค่อยๆ วิเคราะห์ตามความเป็นจริงอยู่นั้น เมื่อเสี่ยวมู่จื่อมองเห็นสีของขอบฟ้า บนใบหน้าเขาปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เสี่ยวเหยาจื่อ พวกเรามัวยืนอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ใกล้จะเที่ยงแล้ว เจ้าต้องนำสำรับอาหารเที่ยงไปให้ท่านอ๋องแล้ว”
“ห๊ะ ทำไมข้าต้องไปล่ะ ข้าไม่ไปได้หรือไม่”
แม้ยามปกติเล่อเหยาเหยาจะมีนิสัยที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายและไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่เมื่อครู่ได้ฟังเสี่ยวมู่จื่อเล่าถึงเกียรติประวัติของอ๋องรุ่นพวกนั้นแล้ว ในใจเธอจึงอดไม่ได้ที่จะนำรุ่ยอ๋องวางไว้ในส่วนของบุคคลอันตราย
เขาเป็นปีศาจตัวหนึ่งที่ไม่ว่าเวลาใดก็สามารถปลิดเอาชีวิตคนอื่นไปได้ จะมีใครที่ไม่หวาดกลัวกัน!?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกขี้ขลาดขึ้นมาบ้างแล้ว!
ซึ่งความคิดนี้ของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อนั้นเข้าใจดี แต่เขาทำได้เพียงมองด้วยสายตาที่เห็นใจและสงสารเท่านั้น
ความจริง ความสัมพันธ์ของเขาและเสี่ยวเหยาจื่อถือว่าดีมาก ถ้าสามารถทำได้ เขาก็อยากที่จะทำแทนเธอ แต่เขากลัวว่าตนเองจะไม่ระมัดระวัง ทำให้รุ่ยอ๋องไม่พอพระทัยได้ จนเขาถูกสับออกเป็นชิ้นๆ แน่ แล้วครอบครัวของเขาจะทำอย่างไร!?
เพราะฐานะทางครอบครัวเขาไม่ดี มีน้องชายน้องสาวห้าคนที่ต้องเลี้ยงดู บิดามารดาเพิ่งพ้นความโศกเศร้าที่ส่งเขามาเป็นขันที ดังนั้นเขาจึงตายไม่ได้ เขาต้องรอนำเงินเดือนที่ได้รับทุกเดือนไปเลี้ยงดูครอบครัว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสี่ยวมู่จื่อที่ใจปรารถนาแต่ไร้แรงกาย จึงทำได้เพียงอธิษฐานกับสวรรค์อยู่ในใจ ขอให้เสี่ยวเหยาจื่อผ่านเดือนนี้ไปอย่างปลอดภัย
เสี่ยวมู่จื่อพลางคิดในใจ และพาตัวเล่อเหยาเหยาที่มีสีหน้าขัดขืนหมุนตัวเดินไปทางห้องโถงของตำหนักอ๋อง
……………………………………….
ตอนที่ 2 ปรนนิบัติรุ่ยอ๋อง
ภายใต้การของเสี่ยวมู่จื่อ แม้ในใจเล่อเหยาเหยาจะรู้สึกขลาดกลัวและไม่ยินยอมอยู่บางส่วน
แต่คนที่มีความเป็นมาที่ไม่ชัดเจนอย่างเธอ ไม่ว่าฟ้าจะถล่มลงมาหรือไม่ ก็สามารถปรับตัวให้ชินกับสิ่งที่เกิดได้อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่วิจิตรงดงามแบบโบราณรอบๆ ตัว ความหวาดกลัวในใจจะค่อยๆ ถูกสภาพแวดล้อมที่งดงามรอบตัวดึงดูดหายไป
“สวรรค์! ที่นี่งดงามมากเลย!”
ขณะที่เล่อเหยาเหยาร้องตระโกนขึ้น นัยน์ตากลมโตที่งดงามพิเศษคู่นั้นก็แทบจะปิดบังความดีอกดีใจเอาไว้ไม่ได้ อ้าปากเล็กๆ นั้นกว้างขึ้น จนมองออกว่าเวลานี้เธอรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากเพียงใด
เมื่อลองคิดดูแล้ว ก่อนนี้เธอชื่นชอบสิ่งปลูกสร้างที่วิจิตรงดงามแบบโบราณนี้มากอยู่แล้ว จนเคยคิดจะไปเที่ยวชมกู้กงดูสักรอบ แต่ยังไม่ทันได้ทำตามสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ ตัวเธอกลับมาโผล่อยู่ที่นี่ก่อนแล้ว
ถึงแม้เธอจะไม่เคยไปกู้กง แต่คิดดูแล้วพระตำหนักที่โบราณและก่อสร้างได้งดงามแห่งนี้ อาจจะใหญ่โตโอ่อ่าและหรูหรามีระดับกว่ากู้กงด้วยซ้ำไป!
เพียงทอดสายตามองยังกำแพงอิฐแดงสูงใหญ่ ก็จะเห็นตำหนักเรียงรายทับซ้อนกันไปอย่างทรงพลัง
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว แสงอาทิตย์จึงสาดส่องลงมาเหนือศีรษะ ซึ่งดูจากสภาพอากาศแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงเดือนสี่ มีสายลมพัดผ่านที่เย็นสบาย ทำให้รู้สึกสบายตัวอย่างมาก
แสงแดดที่ดูเย้ายวนนั้นสาดส่องไปที่เครื่องแก้วสีเหลือง จึงทำให้ความแวววาวของมันที่สะท้อนออกมาดูเข้าตาอย่างมาก!
ระหว่างนั้นภายในสวนดอกไม้ของตำหนัก เห็นเพียงเพื่อนร่วมงานเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ด้านใน ด้วยท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อม เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามสง่างามของชนชั้นสูง
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังชื่นชมทัศนียภาพโดยรอบอย่างละเอียดอยู่นั้น ก็ถูกเสี่ยวมู่จื่อพาเข้ามาในห้องครัวโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
จึงเห็นแค่ว่าห้องครัวนี้กว้างใหญ่มาก แต่ในเวลาเที่ยงวันเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านในจึงดูยุ่งกันมือเป็นระวิงทีเดียว
ทว่าเมื่อเสี่ยวมู่จื่อเอ่ยเบาๆ ขึ้น ภายในห้องครัวที่เอะอะเสียงดังอยู่นั้น ก็เงียบกริบลงทันที คล้ายกับว่ากระทั่งเสียงของเข็มที่ตกลงพื้นก็สามารถได้ยิน
“พี่ใหญ่หลี่ สำรับของท่านอ๋องจัดเตรียมเสร็จหรือยังขอรับ”
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเสี่ยวมู่จื่อเอ่ยจบ คือทุกคนค่อยๆ หยุดมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วใช้สายตาจับจ้องมาที่ตัวของเสี่ยวมู่จื่ออย่างพร้อมเพรียงกัน
“เสี่ยวมู่จื่อ วันนี้เป็นเวรของเจ้าที่ต้องปรนนิบัติ…ท่านอ๋อง!?”
น้ำเสียงที่ตะกุกตะกักที่เอ่ยถามขึ้นมา จากพ่อครัวที่เสี่ยวมู่จื่อเรียกว่าพี่ใหญ่หลี่ ซึ่งนัยน์ตาที่กลมโต่คู่นั้นและใบหน้ากลมดูน่ารักของเขา เวลานี้กลับปรากฏท่าทางคล้ายตกตะลึงและไม่คาดฝันออกมา อีกทั้งสายตาที่มองเสี่ยวมู่จื่อนั้นปิดบังความเห็นอกเห็นใจเอาไว้ไม่ได้เลย
“ไม่ๆ ไม่ใช่ข้า เป็นเสี่ยวเหยาจื่อต่างหาก”
เมื่อได้ยินที่พี่ใหญ่หลี่เอ่ยขึ้น เสี่ยวมู่จื่อก็ตกใจจนใบหน้าซีดขาว แล้วรีบปฏิเสธทันที
หลังสิ้นคำของเสี่ยวมู่จื่อ สายตาของทุกคนที่ผิดแปลกจากปกติ จึงหันกลับมามาจับจ้องที่เล่อเหยาเหยาแทน
ครั้นเมื่อเห็นสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเห็นอกเห็นใจของทุกคน เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกกดดันอย่างมาก จนอดที่จะทำคอหดให้เล็กลงไม่ได้
เอ่อ พวกเขาอย่ามองเธอแบบนี้ได้ไหม มันคล้ายว่าเธอกำลังจะต้องขึ้นลานประหารอย่างไรอย่างนั้น
ครั้นเมื่อพี่ใหญ่หลี่ได้รู้ว่าเล่อเหยาเหยากำลังจะไปปรนนิบัติรุ่ยอ๋อง ก็ส่ายหน้าทันที ก่อนที่จะถอนหายใจยาวๆ ออกมา คล้ายกับว่านึกอะไรได้ขึ้นมา พลันหยิบน่องไก่ที่สีสันสวยงามและกลิ่นหอมเย้ายวนใจชิ้นหนึ่งจากด้านข้างออกมา แล้วยื่นไปตรงหน้าของเล่อเหยาเหยา
“มา น่องไก่ชิ้นนี้เดิมทีข้าคิดจะเก็บไว้กินเอง แต่อีกเดี๋ยวเจ้าต้อง เฮ้อ ให้เจ้ากินก็แล้วกัน”
“อ่า งั้นขอบคุณมากๆ ขอรับ”
เมื่อเห็นน่องไก่ชิ้นโตที่ส่งกลิ่นหอมตรงหน้า เล่อเหยาเหยาก็หิวจนท้องร้องเหมือนตีกลองอยู่ก่อนแล้ว
จึงไม่ได้คิดอะไร รีบหยิบน่องไก่ชิ้นนั้นขึ้นมากัดทันที
ยังไม่ต้องพูดอะไร ก็คิดไม่ถึงว่าสมัยโบราณก็จะมีน่องไก่ที่อร่อยขนาดนี้ด้วย เรียกว่าเป็นอาหารระดับห้าดาวในปัจจุบันได้เลย
ขณะที่เธอกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็คิดอยากที่จะเอ่ยขอบคุณพี่ใหญ่หลี่อวบอ้วนตรงหน้าอีกสักครั้ง แต่ว่าหลังจากได้ยินเสียงบ่นพึมพำของพี่ใหญ่หลี่แล้ว ตัวเธอก็คล้ายตกใจจนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่อย่างนั้น
“เจ้ากินตามสบายเถอะ หลังมื้อนี้จบลง ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตกินมื้อต่อไปหรือเปล่า…”
“เออ…”
…………………………………
[1] หันรถขึ้นเหนือเพื่อมุ่งลงใต้ หมายถึง การกระทำและเป้าหมายสวนทางกัน