สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 102.3 ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด (3) (รีไรท์)
ส่วนทางเล่อเหยาเหยานั้น กลับร้อนใจอย่างมาก
ใบหน้าเล็กซีดขาว คิ้วเข้มขมวดแน่น ก่อนเอ่ยถามตงฟางไป๋ที่กำลังทำแผลให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“พี่ไป๋ บาดแผลท่านอ๋องเป็นเช่นไร อาการหนักหรือไม่ เพราะเห็นถึงกระดูกด้านใน แล้วบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าจึงไม่ทราบ”
เพราะพญายมเพิ่งออกจากวังไปเพียงสามวันมิใช่หรือ!
หรือบาดแผลนี้ จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสามวันนี้!
จริงสิ!หลายวันนี้พญายมไปจัดการพวกโจรสลัด ต้องบาดเจ็บช่วงนั้นแน่!
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดอย่างร้อนใจดุจไฟเผา ทางหนานกงจวิ้นซีที่ถูกเธอละเลย ในใจโมโหและจนใจอย่างมาก
อีกทั้งจิตใจที่อ่อนแอนั้นถูกโจมตีอย่างหนัก
นึกดูแล้ว ตั้งแต่เด็กเขาเกิดมาพร้อมกลิ่นอายสูงศักดิ์ ไม่ว่าไปที่ใด ต่างถูกผู้คนล้อมรอบ ได้รับความสนใจจากทุกคน
สายตาเลื่อมใสริษยาของทุกคน เขาก็ชินชาจนเป็นปกติแล้ว
คิดไม่ถึง เมื่อมาที่นี่ หลังได้พบบ่าวตัวเล็กผู้นี้ เขากลับถูกละเลยหลายครั้ง
อีกทั้ง ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมและรูปร่างของตน หนานกงจวิ้นซีภาคภูมิใจอย่างมาก
แต่เหตุใดบ่าวน่าตายผู้นี้ ทุกครั้งที่ปรากฏตัว สายตามักตกอยู่ที่ศิษย์พี่ใหญ่ ลืมเลือนชายที่สง่างาม หล่อเหลาอย่างเป็นธรรมชาติเช่นเขาไป!
อีกทั้งยังไม่สนใจไยดีอย่างหมดสิ้น
เรื่องนี้หนานกงจวิ้นซีรู้สึกจนใจ โมโห ผิดหวัง และรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง
กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตน คล้ายเด็กน้อยถูกแย่งลูกอมไป กำลังโมโห อิจฉา และไม่ได้รับเป็นธรรม
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางสีหน้ากังวลของบ่าวผู้นี้อีกครั้ง คล้ายต้องการคำตอบที่ชัดเจน ในใจหนานกงจวิ้นซีแม้จะไม่พอใจ ‘เขา’แต่ยังทนเห็นท่าทางร้อนรนของ ‘เขา’ไม่ได้ ดังนั้นจึงเอ่ยตอบคำถามที่เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามขึ้นออกมา
“แผลนี้ได้มาจากที่เมื่อวานศิษย์พี่ใหญ่ต่อสู้กับหัวหน้าโจรสลัด แม้จะดูหนัก ทว่าเจ้าวางใจ ศิษย์พี่ใหญ่บาดเจ็บมานับไม่ถ้วน เรื่องนี้สำหรับเขาถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย!”
หนานกงจวิ้นซีพูดตามความจริง
เพราะหลายปีมานี้ แม้พวกเขาจะมีฐานะสูงส่ง แต่ยิ่งเป็นคนที่มีฐานะสูงส่ง นั่นหมายถึงยิ่งมีอันตรายมาก
ผู้คนมากมายอิจฉาริษยา คิดว่าพวกเขาคือตัวถ่วง หรือทำลายคนของพวกเขา ต่างว่าจ้างมือสังหารมากมายมาสังหารพวกเขา
ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ไร้ความสามารถ
พวกเขาคือลูกศิษย์ของนักพรตแห่งเขาเทียนซาน! หากถูกจัดการง่ายเช่นนั้น ต้องทำให้อาจารย์เสียหน้าแน่นอน
ปกติต้องมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ หรือขนาดใหญ่อยู่แล้ว เพียงไม่เสียชีวิตถือว่าดีมากแล้ว
ส่วนเล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยินหนานกงจวิ้นซีพูดอย่างผ่อนคลาย อดจ้องเขม็งที่เขาแวบหนึ่งไม่ได้
องค์ชายเจ็ดน่าตายนี้!
นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ของเขานะ เหตุใดเขาจึงไม่มีความรักผูกผันของศิษย์พี่น้องเลย พูดอย่างไม่สนใจเช่นนี้
เขาพูดเช่นนี้ คล้ายหลายปีที่ผ่านมา พญายมเคยผ่านอันตรายมาไม่น้อย
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาอดบีบรัดไม่ได้ คล้ายถูกคนใช้มือสอดเข้าไปในหัวใจ
และเจ็บปวดแทนชายหนุ่มที่เย็นชาตรงหน้า
เห็นชัดว่าเขาเกิดมามีฐานะสูงส่งไร้ผู้เปรียบเทียบ อำนาจและสถานะมากมายไร้ขีดจำกัด
เดิมทีควรจะเป็นท่านอ๋องที่ผู้คนอิจฉาริษยา!
แต่เหตุใดในความประทับใจของเธอ กลับแตกต่างออกไป!
ที่ผ่านมาเขามีความสุขหรือไม่!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เสี่ยวมู่จื่อเคยเล่าให้เธอฟังไม่ได้
พญายมเกลียดชังสตรีมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเหตุผลนั่นคือเขาถูกเสด็จแม่ตนเองทารุณตั้งแต่เด็ก จึงส่งผลให้เขาเกลียดชังสตรี มีนิสัยโหดเหี้ยมไร้ปราณี
เป็นมารดาเช่นใดกันแน่ จึงโหดเหี้ยมทารุณกับลูกแท้ๆ ของตนเช่นนี้ได้! หรือเธอไม่รู้สึกปวดใจเลย!
ยังมีหลายปีที่ผ่านมา พญายมผ่านมันมาได้เช่นไร
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายากที่คาดเดาต่อไป
เธอกลับรู้สึกปวดใจแทนชายหนุ่มตรงหน้าจากใจจริง
โดยเฉพาะ เมื่อเห็นบาดแผลลึกจนถึงกระดูกบนหน้าอกของเขา ทำให้เธอที่เห็น ในใจคล้ายถูกกดทับด้วยหินขนาดใหญ่ จนหายใจแทบไม่ออก
ฝีเท้าก้าวเดินเข้าไปตรงหน้าพญายม มองบาดแผลอย่างใกล้ชิด
เห็นยังมีเลือดไหลซึมออกมา จมูกนอกจากได้กลิ่นยาจางๆ ยังมีกลิ่นเลือดที่ปิดบังไม่ได้ด้วย
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาไม่รู้เหตุใดจึงแสบจมูก ก่อนประโยคหนึ่งจะถูกเอ่ยออกมาอย่างทันที
“ท่านอ๋อง เจ็บมากหรือไม่ เพียงเป่าก็ไม่เจ็บแล้ว!”
เอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาโน้มตัวลง เป่าไปที่แผลบนหน้าอกของพญายมครู่หนึ่ง
ความจริงเล่อเหยาเหยาตอนนี้ลืมเลือนทุกอย่าง กระทั่งชายหนุ่มตรงหน้านี้คือพญายมที่ผู้คนหวาดกลัว เพราะรู้เพียงในใจของตนเจ็บปวดแทนเขา สงสารเขา
จึงอดนึกถึงตอนเธอเด็ก เมื่อหกล้ม บาดเจ็บที่ใด บิดาเธอจะเอ่ยกับเธออย่างอ่อนโยนใจดีอย่างยิ่งว่า
“เด็กดี เจ็บมากหรือไม่ เพียงพ่อเป่าให้ก็ไม่เจ็บแล้ว!”
แม้เธอทราบดีว่าคำพูดนี้ของบิดาไม่ใช่ความจริง แต่อาจเพราะได้รับคำปลอบใจ ทุกครั้งหลังจากบิดาเป่าที่แผลให้เธอเสร็จ เธอจะรู้สึกว่าไม่ได้เจ็บปวด
ดังนั้น เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าอกที่มีเลือดไหลออกมาของพญายม เล่อเหยาเหยาไม่คิดให้มากความ รีบทำเช่นนี้ออกมา จนกลายเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงในสายตาของทุกคน
และการกระทำเช่นนี้ของเล่อเหยาเหยา ทุกคนกลับมีปฏิกิริยา…
“เอ่อ” เหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดไม่ออก
“ฟู่”หนานกงจวิ้นซีพ่นชาออกมา
“ฮะ…ฮ่าๆ” ตงฟางไป๋หัวเราะออกมา
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่เพิ่งได้สติว่าตนทำเรื่องใดลงไปกันแน่ มีสีหน้าตกตะลึงชั่วขณะ ทันใดนั้นฉุกคิดถึงท่าทางปัญญาอ่อนของตนเมื่อครู่ ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันเก้อเขิน ความร้อนพุ่งจากหัวใจตรงเข้าสู่ศีรษะด้านบนทันที จนแทบระเหยเป็นไอออกมา
สวรรค์!
เธอปัญญาอ่อนไปแล้วหรือ!
หรือว่าเสียสติ เมื่อครู่เธอทำเรื่องปัญญาอ่อนใดกันแน่!
ถึงเอ่ยคำพูดน่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้กับพญายม อาๆ…
เธอไม่อยากมีชีวิตแล้ว!
เล่อเหยาเหยาโห่ร้องในใจ ร่างกายก็คล้ายสับสน
สองแก้มแดงก่ำนั้น คล้ายกุ้งที่ถูกต้มจนสุก
รวมเข้ากับท่าทางทำอะไรไม่ถูกนั้น ช่างทำให้คนที่เห็นรู้สึกน่าขันและน่าสนใจเสียจริง
ดังนั้น หลังจากหนานกงจวิ้นซีได้สติเป็นคนแรก พลันไม่เกรงใจ หัวเราะเสียงดังออกมา
“ฮ่าๆ น่าขันนัก ฮ่าๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านได้ยินหรือไม่ บ่าวผู้นี้ ฮ่าๆ เขาเอ่ยว่าเพียงเป่าจะไม่เจ็บแล้ว ฮ่าๆ รู้สึกว่าเขาจะเห็นว่าท่านเป็นเด็กน้อยที่ต้องปลอบใจ”
“เอ่อ” คำพูดของหนานกงจวิ้นซี ทำให้เล่อเหยาเหยาก้มใบหน้าเล็กที่ขัดเขินลง จนแทบมุดดินเข้าไปไม่คิดออกมาอีก
เพราะเมื่อครู่ เธอคิดว่าพญายมคือเด็กน้อยที่ต้องได้รับการปลอบใจ
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่ขวยเขิน ทางด้านหนานกงจวิ้นซี กลับหัวเราะอย่างหนัก จนกลิ้งลงมาจากเก้าอี้ แต่ว่ายังไม่ลืมใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่หางตา ทำให้เล่อเหยาเหยามองอย่างตำหนิ
อา น้ำตาที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาแล้ว จะมีใครทำเกินไปเช่นเขาหรือไม่
เวลานี้ เล่อเหยาเหยาร้อนรน จนแทบอยากจะให้ตนกลายเป็นมนุษย์ล่องหน
ก่อนเงยหน้ามองตงฟางไป๋และพญายมที่อยู่ด้านข้าง
เห็นเพียงตงฟางไป๋ แม้จะไม่ได้หัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นหนานกงจวิ้นซี แต่รอยยิ้มจางๆที่มุมปากและหัวไหล่ที่ขยับขึ้นลงนั้น ทำให้รู้ว่าเขากำลังอดกลั้นบางสิ่งอยู่
ส่วนพญายม ความจริงเล่อเหยาเหยาไม่กล้ามองหน้าเขา แต่ทว่าสุดท้ายเธอยังทนไม่ได้ แอบมองไป สบเข้ากับดวงตาเย็นชาที่ลึกล้ำและยิ้มแย้มนั้นของพญายมเข้าพอดี
สวรรค์!
เขากำลังยิ้ม!
ยิ้มให้เธอหรือ
เช่นนั้นเธอน่าอายจริงๆ แล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกขวยเขินจนไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป จึงหมุนกายเดินออกไปทันที
เธอตอนนี้ ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง เธออยากจะมุดดินเข้าไปจริงๆ
คิดไม่ถึง ขณะที่เล่อเหยาเหยาเหยียบข้ามประตูไป ได้ยินเสียงนุ่มนวลทว่ากลับคล้ายหยอกล้อของพญายมดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ฮืม ไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว!”
เสียง‘ปัง’ที่ดังขึ้นมา นั่นคือเสียงหกล้มของเล่อเหยาเหยา
เพราะพญายมบาดเจ็บ ดังนั้นฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เขารักษาตัวอยู่ในวังของตน ไม่ต้องเข้าวังหลวงเข้าร่วมในการว่าราชการ หากในราชสำนักเกิดเรื่องใดขึ้น จะมีคนมารายงานให้เขารับรู้
เวลานี้เป็นเวลาเที่ยง วันนี้ตำหนักหย่าเฟิง เห็นชัดว่าคึกคักกว่าที่ผ่านมา
ตำหนักหย่าเฟิงก่อนหน้านี้ นอกจากพญายม เหม่ย และซิง ก็ไม่มีผู้ใด
ต่อมามีเล่อเหยาเหยาเข้ามาพักอีกคน จากนั้นปรากฏองค์ชายเจ็ดขึ้นมาอีกคน ตอนนี้เพิ่มตงฟางไป๋เข้ามา
ดังนั้นตำหนักหย่าเฟิงเวลานี้ จึงคึกคักอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหลังผ่านเรื่องเมื่อเช้าไป หนานกงจวิ้นซีคล้ายกลัวว่าเล่อเหยาเหยาจะขายหน้ายังไม่พอ จึงมักเอ่ยถึงเรื่องน่าอายของเธอ เล่อเหยาเหยาโมโหจนกัดฟันกรอด แทบถอดรองเท้า นำเอาเท้าที่มีกลิ่นเหม็นยัดเข้าไปในปากเขา เขาน่าชังอย่างยิ่ง
เพราะทุกคนต่างรู้เรื่องนี้แล้ว แต่เขากลับพูดซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เขาไม่สะอิดสะเอียน ทว่าเธอสะอิดสะเอียน
องค์ชายเจ็ดน่าตายนี้ หรืออยากให้ทุกคนบนโลกนี้รับรู้ถึงเรื่องน่าขายหน้าของเธอ!
หรือการรังแกเธอ ทำให้เขามีความสุขเช่นนี้!
หรือชาติก่อนเธอติดค้างเขา หรือชาติก่อนพวกเธอคือคู่แค้นกัน ดังนั้นชีวิตนี้ เขาจึงปรากฏตัวขึ้นมาพิชิตเธอ!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งโมโหเกลียดชังองค์ชายเจ็ดนี้มากขึ้น เมื่อเห็นหน้าเขา แทบอยากที่จะยกเท้าเตะก้น จนเขาลอยหายลับขอบฟ้าไป
จนใจกับองค์ชายเจ็ดผู้นั้น แม้ความสุขของเขาจะถูกสร้างขึ้นจากความทุกข์ของเธอ แต่เธอยิ่งแสดงท่าทางโมโหออกไป เขายิ่งหัวเราะมากขึ้น
หัวเราะๆ น่าขันที่สุดคือภายในใจของเจ้า!
เล่อเหยาเหยาหมดหนทาง จึงทำได้เพียงก่นด่าในใจไม่หยุด เพื่อระบายความโกรธในใจ
และแล้วก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน
พวกพญายมสามคนต่างนั่งลงรับประทานอาหาร
เล่อเหยาเหยาที่เป็นบ่าว ก็เพียงยืนอยู่ คอยปรนนิบัติ
เรื่องการปรนนิบัติผู้อื่นทานอาหาร ภายในช่วงระยะอันสั้นนี้ ความจริงเธอชินชาเสียแล้ว
ทว่าไม่รู้เหตุใด พักนี้เธอเปลี่ยนไปเป็นหิวง่าย
เห็นชัดว่าตอนเช้า เธอเพิ่งกินหมั่นโถวสี่ลูกใหญ่ ข้าวต้มหนึ่งชาม จนเสี่ยวมู่จื่อตกใจ
แต่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าหมั่นโถวสี่ลูกนั้นทำจากอากาศหรือไม่ เพราะไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ท้องเธอส่งเสียงประท้วงขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
เล่อเหยาเหยาจนใจ ทำได้เพียงยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ลูบหน้าท้องไปมา สายตาบางครั้งกวาดมองไปยังอาหารหอมหวนบนโต๊ะใหญ่นั้น
อย่างน้อยไม่สามารถกินได้ ได้มองก็ยังดี!
ดังนั้นภายในห้องโถง จึงปรากฎภาพเช่นนี้ขึ้นมา
ชายหนุ่มหล่อเหลาสามคน พลางจิบสุราพลางพูดคุยกันอย่างสรวลเสเฮฮา ขันทีน้อยงดงามประณีตดุจหยกสลักด้านข้าง กลับมองอาหารบนโต๊ะไม่หยุด และท่าทางอยากกินจนน้ำลายหก
เดิมทีเล่อเหยาเหยาคิดเพียงตนแอบมองครู่หนึ่ง ไม่มีคนพบเห็นแน่ ทว่ากลับไม่รู้ตัวเลยว่าวิธีหวังบ๊วยดับกระหาย[1]ของตน ตกอยู่ในสายตาของทุกคน
ทำให้พญายมและตงฟางไป๋ต่างสบตากันหนึ่งรอบ พลันยิ้มให้แก่กัน
“น้องเหยา หากหิว นั่งทานด้วยกันเถิด พวกเราไม่ถือตัวขนาดนั้น!”
“เอ่อ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนพลันพบว่าตนเสียมารยาทอีกแล้ว
หมดกัน เธอหิวเกินไปจริงๆ
ตอนนี้เธอหิวจนท้องส่งเสียง ‘จ๊อกๆ’ ออกมา ก่อนหน้านี้เธอคล้ายไม่ได้ทานมากขนาดนี้! เหตุใดตอนนี้นับวันยิ่งทานมากขึ้น อีกทั้งยังไม่รู้สึกอิ่มด้วย! ช่างแปลกจริงๆ!
……………………………………………………………
[1] หวังบ๊วยดับกระหาย เปรียบเปรยถึงการดำรงอยู่ด้วยความหวัง