สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 107.1 สิ่งที่ตายไปของตงฟางไป๋ (1) (รีไรท์)
เห็นเพียงตงฟางไป๋ยกธงในมือสั่งการไม่หยุด ท่าทางนั้นดูสง่า ทว่ากลับไม่สูญเสียความงดงาม
วันนี้แสงอาทิตย์สาดส่องทั่วพื้นดิน หมื่นลี้ไร้ปุยเมฆ สายลมพัดเอื่อย เมื่อมองผิวน้ำสีครามใสแจ๋ว สวยงามเช่นนี้นั้น ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจ
แต่ทิวทัศน์งดงามทั้งหมดนี้ เพียงมีชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นอยู่ คล้ายทั้งหมดนี้จะกลายเป็นภาพทิวทัศน์อันสวยงามที่หนุนเขาให้โดดเด่น
ร่างสูงนั้น สวมเสื้อยาวสีขาว ผมยาวดำสนิท เค้าโครงงามพริ้ง
เรือมังกรสีขาวดุจเสือออกจากภูเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ แรงลมในแม่น้ำอันรุนแรง พัดผ่านเสื้อคลุมสีขาวของเขาและผมสีดำสนิท ทำให้เขาดูคล้ายเทพเซียนที่รุดบินขึ้นไปบนสวรรค์
อรชรอ้อนแอ้น ดุจท่าทางของห่านเช่นนี้…
เล่อเหยาเหยาได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องอันฮึกเหิมที่คล้ายค่อยๆ ห่างเธอออกไป
จนกระทั่ง เรือมังกรสีขาวที่รวดเร็วปานสายฟ้านั้น แล่นออกห่างเรือมังกรลำอื่น ชิงอันดับที่หนึ่งไปได้ เล่อเหยาเหยาพลันได้สติ จากนั้นจึงโห่ร้อง ตะโกนปรบมือเสียงดังตามกลุ่มคน
“อา พี่ไป๋เยี่ยมจริงๆ พี่ไป๋เยี่ยมจริงๆ”
เล่อเหยาเหยาที่ได้สติ ปรากฏสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ตบมือโห่ร้องไม่หยุด
อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงโห่ร้องของเธอ และสังเกตเห็นสายตาของเธอ ตงฟางไป๋ที่เดิมทียืนอยู่บนเรือมังกร เอียงหน้ากลับมา มองมาทางเล่อเหยาเหยา
ทันใดนั้น ดวงตาสี่ดวงจ้องมองกัน ต่างตกตะลึงทั้งสองคน และพลันยิ้มให้แก่กัน
ภาพที่อบอุ่นเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าพวกเขานั้น ช่างละมุนละไมชวนหลงใหลยิ่ง
ภาพนี้ งดงามคล้ายภาพสีน้ำที่ทำให้คนตกตะลึง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในสายของบางคน จะทำให้ใบหน้าเย็นชาของเขานั้นพลันเคร่งขรึมลง
…
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน โคมไฟถูกจุดแขวนไว้ กลางวันที่เดิมทีคึกคัก สุดท้ายยังค่อยๆ เงียบสงบลง ก่อนกลางคืนที่งดงามชวนหลงใหลจะเข้ามาต้อนรับ
ทุกปีในเมืองหลวงจะจัดงานแข่งเรือมังกรขึ้นหนึ่งครั้ง และฝีพายเรือที่ได้อันดับหนึ่ง ต่างถูกเชื้อเชิญมาที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ ที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเพื่อทานอาหารมื้อใหญ่ ปีนี้ก็เช่นกัน
เพราะตอนกลางวัน ตงฟางไป๋เห็นว่าเล่อเหยาเหยาอยู่ที่งาน ดังนั้นหลังลงจากเรือ จึงเชิญเล่อเหยาเหยาและหลูซวงมาที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ด้วย
สำหรับการเชื้อเชิญอย่างมีน้ำใจของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน
เมื่อเธอและหลูซวงเดินตามหลังตงฟางไป๋เข้ามาในโรงเตี๊ยมหลูอวี้ กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบพญายมและหนานกงจวิ้นซีอยู่ที่นี่แล้ว
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดตกตะลึงไม่ได้
เพียงแต่ขณะนั้น เห็นเพียงพญายมนั่งดื่มสุราอยู่อย่างเงียบเชียบตรงนั้น คล้ายมองไม่เห็นเธอ ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงเบ้ปาก ก่อนจะเดินหาโต๊ะอย่างตามใจกับหลูซวง จากนั้นก็มองสำรวจไปรอบด้านอยู่ครู่หนึ่ง
ที่นี่คือชั้นสองของโรงเตี๊ยมหลูอวี้
เพราะโรงเตี๊ยมหลูอวี้คือโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ห้องภายในจึงประดับตกแต่งอย่างหรูหราทันสมัยอย่างยิ่ง
และพื้นที่ของห้องก็กว้างขวาง สามารถวางโต๊ะกลมขนาดใหญ่ได้ถึงสี่โต๊ะ
เล่อเหยาเหยาเพราะหลีกเลี่ยงการชิดใกล้พญายม ดังนั้นเมื่อตงฟางไป๋เชื้อเชิญเธอมานั่งร่วมโต๊ะกับเขาและพญายม เธอจึงยิ้มพลางปฏิเสธ
“พี่ไป๋ ข้ากับหลูซวงนั่งตรงนี้ดีแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ งั้นตามใจเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เพียงคิดว่าหากเล่อเหยาเหยามานั่งข้างกายเหลิ่งจวิ้นอวี๋ อาจจะรู้สึกอึดอัด ดังนั้นจึงไม่บังคับ เพียงแนะนำเล่อเหยาเหยาให้คนบนโต๊ะรู้จัก จากนั้นจึงเดินไปทางเหลิ่งจวิ้นอวี๋
เพราะเมื่อครู่ตงฟางไป๋ตั้งใจแนะนำแก่ทุกคน ดังนั้นคนที่เหลือรู้ว่า เล่อเหยาเหยาคือสหายของตงฟางไป๋ จึงต้อนรับเล่อเหยาเหยาและหลูซวงอย่างอบอุ่นยิ่งนัก
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่นิสัยร่าเริงสดใส พูดจาตลกขบขัน ไม่นานก็กลมกลืนกับเหล่าผู้เข้าแข่งขันการแข่งเรือมังกร
ไม่นาน อาหารก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ
โรงเตี๊ยมหลูอวี้ไม่เพียงเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ที่นี่ไม่เพียงห้องพักตกแต่งอย่างหรูหรา กระทั่งอาหารต่างรสชาติดีอย่างยิ่ง
อาหารสิบอย่างซุปหนึ่งเมนู อาหารอันโอชะ มีทั้งปลาทั้งเนื้อ อุดมสมบูรณ์อย่างที่สุด
และวันนี้ ทุกคนต่างยุ่งมาทั้งวัน และหิวจนหน้าอกแทบแนบชิดกับแผ่นหลัง หลังอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ ต่างไม่เกรงอกเกรงใจ ทุกคนต่างหยิบตะเกียบ กินเนื้ออย่างตะกละตะกลาม ดื่มสุราเต็มปาก
สำหรับการกินอย่างองอาจของทุกคน เล่อเหยาเหยาก็ไม่แพ้เช่นกัน
หยิบตะเกียบคีบอาหารให้หลูซวงไม่หยุด
เพราะเล่อเหยาเหยารู้สึกว่า หลูซวงสุภาพเรียบร้อยเกินไป เมื่อทานอาหารกับคนเหล่านี้ ตะเกียบจึงช้ากว่าหนึ่งจังหวะ สุดท้ายจึงต้องกินเพียงอาหารที่เหลืออยู่ตรงนั้น
ดังนั้น พออาหารขึ้นโต๊ะ เล่อเหยาเหยาจึงหยิบตะเกียบคีบอาหารบนโต๊ะ ส่งไปที่ชามของหลูซวงไม่หยุด
“หลูซวง เจ้าคงหิวแล้ว รีบกินเถิด!”
“ขอบคุณพี่เหยา ท่านก็รีบกินเถิด!”
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาคีบอาหารให้ตนอย่างใส่ใจเช่นนี้ ทำให้หลูซวงสองแก้มแดงก่ำ ในใจมีความสุข ทันใดนั้น ก็หยิบตะเกียบคีบชิ้นปลาตุ๋นน้ำแดงวางลงในชามของเล่อเหยาเหยาเช่นกัน
เพราะทุกคนมองไม่ออกว่าเล่อเหยาเหยาคือขันทีแห่งวังรุ่ยอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาและหลูซวงผลัดกันคีบอาหารให้กันไม่หยุด ทุกคนต่างมองดูอย่างอิจฉาริษยา
รวมทั้งทุกคนต่างดื่มสุราเข้าไปไม่น้อย การพูดจาจึงตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง
“น้องเหยา ข้างกายเจ้าผู้นั้น คือคนรักของเจ้าหรือ!”
ชายรูปร่างสูงใหญ่เจ้าเนื้อผู้หนึ่ง อาจเป็นเพราะดื่มสุราไปไม่น้อย เวลานี้สีหน้าจึงแดงก่ำดุจมะเขือเทศ เอ่ยพลางหัวเราะกับเล่อเหยาเหยาขึ้น
คนที่เหลือได้ยินรีบผสมโรงทันที
“ข้าเองก็มองอยู่นาน พวกเจ้าดูสิ พวกเขาชายหล่อหญิงงาม ราวคู่รักที่ฟ้าดินกำหนดมา น่าอิจฉาเสียจริง!”
“ฮ่าๆ ใช่ น้องเหยา เจ้าช่างโชคดี วันหน้าหากแต่งงาน อย่าลืมบอกพวกเราทุกคนรู้ได้หรือไม่! ”
“ถูกต้องๆ”
เพราะพักนี้เพื่อเรื่องการแข่งเรือมังกร ทุกคนจึงยุ่งและกังวลกับการฝึกอย่างหนัก
วันนี้การแข่งเรือมังกรสิ้นสุดลง พวกเขาได้รับผลงานที่ดี ตอนนี้จึงผ่อนคลายลงอย่างมาก ดังนั้นหลังจากทุกคนกินอย่างอิ่มหนำ พากันดื่มสุรา หยอกล้อกันขึ้นมา ทำให้ทั่วห้องอึกทึกครึกโครมอย่างมาก
สำหรับการหยอกล้อกันของทุกคน เล่อเหยาเหยาเพียงลูบจมูก คิดเพียงทุกคนล้อเล่นจึงไม่คิดว่านี่คือเรื่องจริง จนหัวเราะขึ้นมาพลางเอ่ยว่า
“ทุกท่านอย่าเข้าใจผิด หลูซวงคือน้องสาวของข้า!”
“โอ้ น้องสาว”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เห็นชัดว่าทุกคนไม่เชื่อ คำพูดที่เอ่ยออกมาจึงมีโทนเสียงที่สูง
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาเอาแต่ยิ้ม ส่วนหลูซวงด้านข้าง เมื่อเห็นสายตาหยอกล้อของทุกคน หน้าแดงก่ำขึ้นอย่างรวดเร็ว หันไปคลอเคลียอยู่ข้างกายของเล่อเหยาเหยา
สำหรับท่าทางนี้ของหลูซวง เล่อเหยาเหยาเพียงคิดว่าเธอกำลังเขินอาย เพราะหญิงสาวสะคราญปานบุปผา จะเคยถูกคนหยอกล้อเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ว่า ภาพนี้ในสายตาของทุกคน กลับคิดแตกต่างออกไป
ทุกคนต่างทำท่าทางแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ความจริงเล่อเหยาเหยากับหลูซวงคือคู่รักกัน
สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก คิดเพียงทุกคนแค่แหย่พวกเธอเล่นเท่านั้น!
แต่เธอไม่พูดแก้ตัว ในสายตาของบางคน กลับคิดว่านี่คือความจริง
มือที่จับจอกสุรานั้น อดกำแน่นไม่ได้
คนผู้นี้มิใช่ผู้ใด แต่เป็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋!
เมื่อเล่อเหยาเหยาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เขารู้อยู่ก่อนแล้ว
เพียงแต่เขาไม่มอง ‘เขา’เท่านั้น
เพราะตอนเที่ยง เห็น ‘เขา’ และตงฟางไป๋จ้องมองกันอยู่ไกลๆ รอยยิ้มเจิดจ้านั้น ช่างบาดตาเขายิ่งนัก!
และ ‘เขา’ ยังจูงมือกับผู้หญิงอื่น ดูแลกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาอิจฉาริษยา
ในใจราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ปิดกั้นเอาไว้ จนไม่สบายอย่างยิ่ง!
ขันทีน้อยน่าตายนี้ ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดผู้อื่นเสียจริง!
ไม่ว่าจะเป็นขันทีในวังอ๋อง ศิษย์น้องของเขา ยอดคณิกาแห่งหออวี๋หง ตอนนี้กระทั่งตงฟางไป๋ก็ยัง…
น่าตายเสียจริง!
เห็นชัดว่า ‘เขา’ คือคนของเขา มิใช่หรือ…
ตรงข้ามกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่โมโหเดือดดาล หนานกงจวิ้นซีที่นั่งอยู่ข้างกายเขา ก็รู้สึกไม่พอใจเสียงเฮฮาคึกคักไม่หยุดจากทางด้านนั้นเช่นกัน
หนานกงจวิ้นซีจึงคีบซี่โครงหมูตุ๋นเข้าปาก พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูหึงหวง
“เจ้าหมูน้อยผู้นี้ ช่างไม่สำรวม!”
เห็นชัดว่าไม่มีสิ่งนั้นแล้ว กลับยังมีความรักอีก ช่างน่ารังเกียจ!
หรือว่า ‘เขา’ จะกำจัดไม่หมด!
หนานกงจวิ้นซีทั้งสับสนและคิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานา!
ทันใดนั้น ก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบไก่ต้มเข้าปาก
หลังจากเพิ่งกินเข้าไป ก็เห็นเขาแสดงความกังขากับรสชาติของอาหาร
“เหตุใดอาหารวันนี้จึงเปรี้ยวนัก หรือพ่อครัวเห็นน้ำส้มเป็นซอสไปแล้ว!”
สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเลิกคิ้วชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง สุดท้ายมองไปยังไก่ต้มในชามของหนานกงจวิ้นซี ยกยิ้มมุมปาก โดยไม่สนใจเขา
ตรงข้ามกับหนานกงจวิ้นซีและเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ไม่สบอารมณ์ ตงฟางไป๋เมื่อเห็นทางนั้นคึกครื้นเฮฮา กลับยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนมีความสุข และเอ่ยขึ้นว่า
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงน้องเหยาจะเป็นมิตรเช่นนี้!”
“ฮึ! เป็นมิตร เขากำลังล่อลวงคนอื่นมากกว่า!”
สำหรับคำพูดของตงฟางไป๋ หนานกงจวิ้นซีกลับส่งเสียง ฮึ ออกมาอย่างดูถูก
สุดท้าย เขากินสิ่งใดต่างรู้สึกว่ารสเปรี้ยว เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นพร้อมกับวางตะเกียบลง ก่อนหันไปดื่มสุรา
สำหรับเรื่องทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาไม่รับรู้แม้แต่นิดเดียว
เพราะหลังจากชายหนุ่มข้างกายเธอกลุ่มนั้นโห่ร้องจบ ก็เข้ามาชนจอกกับเธอไม่หยุด
สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นอย่างมากของทุกคน เธอกระดากใจอย่างมาก
สุดท้าย ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธเช่นไร ก็ยังถูกกรอกสุราเข้าไปหลายแก้ว
ในที่สุดเธอจึงทนไม่ไหว จึงอ้างว่าปวดปัสสาวะ
เพราะหากถูกพวกเขากรอกสุราเช่นนี้ต่อไป เธอไม่ล้มหัวคะมำจึงถือว่าแปลก!
เมื่อเอ่ยกับหลูซวงหลายประโยค เล่อเหยาเหยาโอนเอนไปมา เดินออกไปด้านนอก
หากพูดตามจริง เธอก็รู้สึกปวดปัสสาวะเล็กน้อย
หลังสอบถามเส้นทางและที่ตั้งของห้องน้ำกับเสี่ยวเอ้อร์ เล่อเหยาเหยาเดินตรงไปยังห้องน้ำ หลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ เธอจึงไม่รีบร้อนกลับไป
เดินเอื่อยๆ ไปตามเส้นทางแคบที่ปูด้วยหินสีเขียวนั้นออกไปด้านหน้า
เห็นเพียงแสงจันทร์คืนนี้ ช่างงดงาม งดงามอย่างมาก