สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 108.2 จุมพิตเลือด (2) (รีไรท์)
เล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ หูพลันได้ยินเสียงต่ำมีเสน่ห์แหบพร่าของพญายมดังขึ้น
“เป็นอันใด ไม่ถอยแล้วหรือ”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของพญายม เล่อเหยาเหยาอดมุมปากกระตุกไม่ได้ คำพูดที่เอ่ยออกไปคล้ายไม่พอใจ
“ท่านอ๋อง หากถอยไปอีกก้าว บ่าวต้องตกลงไป”
“ฮึ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา พญายมเพียงส่งเสียง ฮึ ออกมา จากนั้นก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าสายตาคมกริบนั้น ยังจ้องอยู่ที่ใบหน้าตนตลอดเวลา ทำให้เธอรู้สึกชาในใจ
อันที่จริง เธอไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่เมื่อเผชิญกับพญายมตรงหน้ากลับรู้สึกหวาดกลัว โดยเฉพาะเวลาที่เขาไม่พูดจา เพียงจ้องเธอเขม็งอยู่เงียบๆ ทำให้รู้สึกคล้ายถูกจ้องมองด้วยสัตว์ร้ายที่กระหายเลือดตัวหนึ่ง
ความกลัวนั้น ทะลักออกมาจากในใจ
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงกังวลใจ
แต่ศัตรูไม่ขยับเธอไม่อาจล่วงรู้ ไม่รู้ว่าพญายมจะทำสิ่งใดกันแน่ เธอจึงเพียงรักษาความเงียบเอาไว้
จนกระทั่งไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด เล่อเหยาเหยายืนอยู่เช่นนี้ตลอดจนขาชา แต่เธอยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพญายม
ในใจรู้สึกไม่สบายและสั่นระรัว
กระทั่งในที่สุดคำพูดของพญายมก็ดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า ในคืนที่เงียบเหงาเช่นนี้ ดังกังวานเป็นพิเศษ
“เจ้ากับไป๋สนทนากันถูกคอไม่เลว”
“เอ่อ”
รออยู่นาน พญายมกลับพูดประโยคเช่นนี้ออกมา ทำให้เล่อเหยาเหยาสับสน
ความสัมพันธ์ที่ดีของเธอและตงฟางไป๋ เกี่ยวข้องกับเขาเช่นไร! ช่างเป็นผู้ชายที่เข้าใจยากเสียจริง!
เล่อเหยาเหยาก่นด่าในใจ ทว่ายังเอ่ยปากออกไปตามความจริง
“ใช่ พี่ไป๋เป็นคนที่ดีมาก และบ่าวก็รู้สึกดีเมื่ออยู่กับเขา ดังนั้นพวกเราย่อมสนทนากันถูกคอ!”
พอนึกถึงตงฟางไป๋ ในใจเล่อเหยาเหยารู้สึกอบอุ่น
เพราะตงฟางไป๋ผู้นี้ บนร่างกายแฝงด้วยเสน่ห์ประเภทหนึ่ง เมื่ออยู่กับเขา ปัญหายุ่งยากทั้งหมดคล้ายจะสลายไป
และทำให้คนอดอยากใกล้ชิด สนิทสนมกับเขาไม่ได้
ยิ่งคิด มุมปากของเล่อเหยาเหยายิ่งอดยิ้มหวานไม่ได้
แต่เธอกลับไม่รู้ว่า รอยยิ้มนี้ของตน ในสายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋บาดตามากเพียงใด!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกเพียงในใจเกิดเสียง ‘ปัง’ ขึ้น เปลวไฟความโกรธนั้นพลันลุกโชนอย่างรุนแรง
‘เขา’ บอกว่าไป๋คือคนดี อยู่กับเขาแล้วรู้สึกดี
เช่นนั้นตัวเขาล่ะ!
หรือการอยู่กับเขา สำหรับ ‘เขา’ คือฝันร้าย!
ยิ่งคิด เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งโมโห สายตาที่มองเล่อเหยาเหยา ค่อยๆ แดงก่ำ บนหน้าผากเขียวคล้ำ จมูกโด่งนั้นขยับขึ้นลงและริมฝีปากรูปกระจับที่เม้มแน่นเป็นเส้นตรงนั้น กำลังแสดงความโมโหของเจ้าของออกมา
น่าเสียดาย เล่อเหยาเหยาที่เวลานี้กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับความอ่อนโยนงามสง่าของตงฟางไป๋ กลับไม่รับรู้ถึงความโกรธของคนข้างกาย
จนกระทั่ง เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าไอสังหารข้างกายพลันรุนแรงขึ้นมา จึงตกใจอย่างหนัก ขณะที่ยังไม่ได้สติ ปลายคางเธอพลันถูกจับขึ้นโดยมือใหญ่ ทันใดนั้น จุมพิตแฝงความดุเดือดนั้นก็เข้ามาประกบริมฝีปากเธออย่างรวดเร็ว
จุมพิตของพญายม ร้อนแรง ป่าเถื่อน และแฝงไปด้วยความโมโหดุจพายุอันบ้าคลั่ง
ลิ้นชุ่มชื้นนั้น ไม่สนใจการต่อต้านขัดขืนของเล่อเหยาเหยา แงะฟันเธอให้เปิดออก สอดลิ้นยาวเข้าไป เพื่อเข้ายึดครอง พัวพันกับลิ้นเล็กที่หลบซ่อนของเธอไม่หยุด
สำหรับจุมพิตของพญายม เล่อเหยาเหยาไม่ได้แปลกใหม่สักนิดเดียว แต่กลับรังเกียจอย่างมาก
เพราะทุกครั้งพญายมต่างไม่สนใจความสมัครใจของเธอ ว่าตนอยากทำสิ่งใด สะดวกทำสิ่งใด เรื่องนี้จึงทำให้เล่อเหยาเหยาโมโหอย่างมาก
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงกัดฟันอย่างไม่คิดชีวิต
“อือ”
หลังเสียงฮึดฮัดของพญายม ภายในปากของเล่อเหยาเหยาพลันกระจายกลิ่นคาวเลือดออกมาอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นสิ่งที่ปรารถนาก็เป็นจริง ในที่สุดพญายมก็ปล่อยมือใหญ่ที่รัดปลายคางของเธอออก
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาฉวยโอกาสหมุนตัววิ่งหนีไป คิดไม่ถึง เธอยังไม่ทันก้าวถอยไป ร่างกายสูงใหญ่ของพญายมนั้น พลันกระโจนเข้ามาหาเธอดุจภูเขาไท่ซานกดอยู่บนศีรษะ
เล่อเหยาเหยาที่ถูกกระโจนเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว ล้มลงบนพื้นหญ้าและถูกกดไว้ด้านล่าง
เสียง “โอ๊ย” ดังขึ้น พร้อมเล่อเหยาเหยาที่ไม่เพียงร่างกายถูกทับจนใกล้จะแบน ท้ายทอยยังกระแทกลงที่พี้นหญ้าด้านหลังอย่างหนัก
แม้พื้นหญ้าจะอ่อนนุ่ม แต่เล่อเหยาเหยายังถูกกระแทกจนตาลาย
และท้ายทอยยังเจ็บปวดอย่างมาก!
แต่สิ่งสำคัญคือ กระทั่งเวลาตะโกนว่าเจ็บเธอยังไม่มี เพราะจุมพิตรุนแรงเอาแต่ใจของพญายมนั้น ประกบเข้ามาอีกครั้ง
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นนั้น กระจายอยู่ในปากเธออีกครั้ง ทำให้เล่อเหยาเหยาหันใบหน้าหนีต่อต้านไม่หยุด
น่าเสียดาย พญายมรู้ว่าเธอต้องต่อต้าน จึงใช้มือรัดปลายคางเธอเอาไว้ ไม่ให้ศีรษะเธอขยับ
เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงเจ็บที่ปลายคาง ปากเล็กถูกประกบจุมพิต ความโหในใจใกล้จะระเบิดออกมา
ดังนั้น มือทั้งคู่จึงกำหมัดแน่น ชกเข้าไปที่หน้าอกของพญายมอย่างรุนแรง
แต่แม้เล่อเหยาเหยาจะใช้แรงที่มีทั้งหมด ชกจนมือเจ็บไปหมด เขายังไม่เจ็บไม่คัน จนเธอโมโหจนแทบบ้า
โดยเฉพาะสถานที่ที่พวกเธอยู่ในตอนนี้ ยังเป็นภายในโรงเตี๊ยมหลูอวี้ หากมีคนเห็นเข้า จะทำเช่นไร! นี่พญายมเขาเสียสติไปแล้วหรือ!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งวิตกกังวลในใจ ดังนั้นเธอจึงร้อนใจ พลันงอเท้าขึ้นถีบเข้าที่สะโพกของพญายม
ลูกถีบนี้ เธอต้องถีบได้อย่างแม่นยำแน่นอน เพราะพญายมที่เดิมทีทับอยู่บนตัวเธอ พลิกตัวออกไปทันที
เมื่อร่างกายไม่มีแรงกดดัน ทำให้เล่อเหยาเหยาหอบหายใจออกมา
แต่เธอไม่กล้าชักช้า
เกรงว่าพญายมจะมาคิดบัญชีกับเธอ หรือทำเรื่องเหลวไหลอีก เล่อเหยาเหยาจึงรีบลุกขึ้นจากพื้นหญ้าอย่างกังวล คิดหนีไป
แต่ครั้งนี้เธอเดินไปเพียงสองก้าว กลับพลันแน่นที่ข้อเท้า
เล่อเหยาเยาหันกลับไปมอง
มารดามันเถอะ พญายมจับเท้าเธอไว้!
และพญายมเวลานี้ มีสีหน้าที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เห็นเพียงเขาเวลานี้กำลังงอตัว มือหนึ่งกุมสะโพกของตน มือหนึ่งกำแน่นที่ข้อเท้าเธอ ทำให้เธอวิ่งไม่ได้
ที่สำคัญคือ สายตาเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและโหดเหี้ยม คล้ายสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโมโห จนอยากถลกหนังเลาะกระดูกกลืนลงท้อง
ยังมีน้ำเสียงเย็นชาไปถึงกระดูกของเขา ที่ดังออกมาจากซอกฟัน
“น่าตายนัก เจ้ากล้าถีบข้า!”
“เอ่อ เจ้า! ท่านอ๋อง ปล่อยมือ ปล่อยบ่าว ท่านเสียสติไปแล้ว ที่นี่คือโรงเตี๊ยม ท่านไม่กลัวผู้ใดพบเห็น แต่บ่าวกลัว บ่าวไม่ใช่ของเล่นของท่าน ไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์อันป่าเถื่อนของท่าน ท่านอ๋อง โปรดให้เกียรติบ่าวด้วย บ่าวก็มีศักดิ์ศรีนะ!”
เล่อเหยาเหยาโมโหแล้ว
อันที่จริง เล่อเหยาเหยาคือคนที่โมโหร้าย แม้ปกติเธอจะหวาดกลัวชายหนุ่มนี้จากใจ แต่เวลาที่โมโหจริง เธอก็ไม่สนใจสิ่งใด ขณะที่พูด จึงสะบัดเท้าให้หลุดพ้นจากการรัดของพญายม
แต่มือของพญายม คล้ายทำจากคีมเหล็ก ไม่ว่าเธอจะสะบัดเช่นไร ก็ไม่หลุดพ้น สุดท้ายก็สูญเสียการทรงตัว พุ่งกระโจนไปด้านหน้า
คิดไม่ถึง ตำแหน่งด้านหน้าของเล่อเหยาเหยา คือทะเลสาบแวววาวระยิบระยับ
ทันใดนั้น เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น พร้อมกับละอองน้ำที่กระเซ็นไปรอบด้านขนาดใหญ่
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพราะเจ็บปวดสะโพก จับตัวเล่อเหยาเหยาไว้ไม่ทัน หลังเห็นเล่อเหยาเหยาตกลงไปในทะเลสาบ ดวงตาเย็นชาพลันเบิกกว้าง แต่บริเวณสะโพกเจ็บปวดอย่างมาก จึงทำให้เขาขยับแม้ครั้งเดียวก็ยากลำบาก
เดิมทีคิดว่า เล่อเหยาเหยาจะว่ายน้ำได้ ดังนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงรอให้เล่อเหยาเหยาค่อยๆ ว่ายน้ำขึ้นมา
คิดไม่ถึง หลังจากรอตั้งนาน พื้นน้ำด้านบนไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ความหวาดวิตกจึงค่อยๆ พรั่งพรูขึ้นในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างรวดเร็ว
“น่าตายนัก!”
‘เขา’ ว่ายน้ำไม่เป็นหรือ!
หลังคิดถึงเรื่องนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ไม่สนใจความเจ็บปวดที่สะโพก จากนั้นเสียง ‘ตูม’ ก็ดังขึ้นอีก พร้อมกับเขาที่กระโดดลงไปในทะเลสาบ
เวลานี้เป็นช่วงฤดูร้อน กลางคืนจึงยังร้อนอบอ้าว แต่ภายในทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบยังเย็นสดชื่น
ความจริง เล่อเหยาเหยาว่ายน้ำเป็น
ตอนเด็กที่คืนหนึ่งเธอไม่ระวัง ตกลงไปในบ่อน้ำ จนเกือบจมน้ำตาย โชคดีที่สุดท้ายถูกคนช่วยเหลือขึ้นมา
แต่หลังจากครั้งนั้น บิดาเธอจึงเอ่ยว่า เมื่อว่ายน้ำไม่เป็นต้องเรียนรู้!
อย่างน้อยตกน้ำครั้งหน้า ยังช่วยเหลือตนเองได้ เพราะเธอจะไม่โชคดีมีคนมาช่วยชีวิตไว้ทุกครั้ง
ต่อมาเธอจึงขบคิด และคิดว่าเรื่องนี้มีเหตุผล ดังนั้นจึงเข้าร่วมชั้นว่ายน้ำ และเรียนว่ายน้ำอย่างกระตือรือร้น
ไม่กี่วัน เธอก็สามารถว่ายน้ำได้ และปกติเมื่อมีเวลาว่างจะไปลงว่ายน้ำที่สระในบ้านของตน
แต่เมื่อครู่ตอนตกลงไปในน้ำ เพราะเธอโมโหมากเกินไป จึงกลั้นลมหายใจไว้ตลอด ไม่อยากโผล่ขึ้นจากน้ำ
เพราะเมื่อขึ้นไป ต้องเผชิญหน้ากับพญายมน่าตายนั้น ดังนั้นเธอจึงยอมกลั้นหายใจอยู่ในน้ำ ไม่ยอมโผล่ขึ้นมา
เพียงแต่ในน้ำไม่มีอากาศ กลั้นหายใจจึงลำบาก ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงดำน้ำไปที่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหลังจากดำน้ำออกมาได้ไกลมากแล้ว จึงปล่อยลมหายใจออกมา ก่อนโผล่ขึ้นมาจากน้ำ
เวลาเดียวกันนั้น ขณะที่เธอโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ไม่ไกลจากเธอกลับมีเสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น คล้ายมีคนกระโดลงไปในน้ำ
………………………………