สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 111.2 ความอ่อนโยนของตงฟางไป๋ (2) (รีไรท์)
เล่อเหยาเหยาแปลกใจ เพราะเสี่ยวหลงเปาที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้เธอเคยกินเพียงครั้งเดียว และเธอก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใด หรือตงฟางไป๋จะมีความสามารถอ่านใจคนได้ ดังนั้นจึงรู้ว่าเธอชอบกินเสี่ยวหลงเปาของโรงเตี๊ยมหลูอวี้!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาสงสัย ตงฟางไป๋เพียงยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า
“นี่ง่ายมาก ครั้งก่อนที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ ข้าเห็นท่าทางกินเสี่ยวหลงเปาอย่างพอใจของเจ้า จึงรู้ว่าเจ้าต้องชื่นชอบเสี่ยวหลงเปาแน่”
“ฮ่าๆ ท่านพูดเหมือนกับข้ามีสิ่งใดถูกเขียนไว้บนใบหน้าอย่างนั้น”
สำหรับคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาเพียงหัวเราะ พลันลุกยืนขึ้น สะบัดชายเสื้อ ยื่นมือลงไปในน้ำเพื่อล้างคราบน้ำมันบนมือ
เมื่อเห็นทะเลสาบที่เดิมทีสงบนิ่งราบเรียบ เพราะพวกเขาจุ่มมือลงไป กวนน้ำในทะเลสาบให้เกิดระลอกคลื่นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระเพื่อมออกไปด้านนอก
น้ำในทะเลสาบที่แวววาวระยิบระยับ ใสแจ๋วจนเห็นเบื้องล่าง สามารถเห็นภายในทะเลสาบมีฝูงปลากำลังแหวกว่ายไปมาอย่างอิสระเสรี ช่างมีอิสระยิ่งนัก!
อากาศในฤดูร้อน มันร้อนจนทำให้คนหงุดหงิด
แต่ที่นี่กลับมีลมเย็นพัดผ่าน ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด และน้ำในทะเลสาบที่ใสสะอาด เย็นสดชื่น สบายอย่างยิ่ง
เล่อเหยาเหยาตอนแรกคิดเพียงล้างมือ แต่เมื่อรู้สึกถึงความเย็นของน้ำในทะเลสาบ ทำให้เธออดตาเป็นประกาย พลันทำเรื่องที่เธอมักจะทำอยู่บ่อยครั้งออกมา
นั่นคือ…
เธอถอดรองเท้าออกอย่างรวดเร็ว เท้าเล็กขาวผ่องที่เหนื่อยล้ามาครึ่งวันนั้นจุ่มลงไปในทะเลสาบเย็นและใสสะอาด
เมื่อรู้สึกเท้าเล็กที่ร้อนระอุจุ่มลงไปในทะเลสาบเย็นยะเยือก ความรู้สึกนี้ ช่างทำให้คนสบายอย่างยากที่อธิบายออกมาได้ ทำให้เล่อเหยาเหยาอดหน้าตายิ้มแย้ม ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายไม่ได้
“ฟู่ว สบายจริงๆ”
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่ร้องอย่างสบายอกสบายใจ ตงฟางไป๋ที่พอเห็นกลับหัวเราะออกมา พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“น้องเหยาช่างดูมีความสุขเสียจริง”
“ฮ่าๆ พี่ไป๋ ท่านก็มาแช่เท้าด้วยกันเถิด น้ำในทะเลสาบนี้ดียิ่ง แช่เท้าแล้วรู้สึกสบายมากเลย!”
เล่อเหยาเหยาหันมา เอ่ยพลางยิ้มให้ตงฟางไป๋ข้างกาย
ตงฟางไป๋เห็นใบหน้าเล็กดุจหยกแกะสลัก บริสุทธิ์หยาดเยิ้มนั้นของเล่อเหยาเหยา ดวงตาดำขลับเป็นประกายพลันไม่ลังเล รีบทำตามเล่อเหยาเหยา ถอดรองเท้าออก จากนั้นจุ่มเท้าสองข้างลงไปในน้ำ
ทันใดนั้น ก็ร้องขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“ฮ่าๆ สบายยิ่งนัก!”
“ฮ่า ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาพูดพลางหัวเราะอย่างภูมิใจ
คิ้วน่ามองคู่นั้นเลิกขึ้น ยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ ทำให้เธอดูคล้ายจิ้งจอกที่เพิ่งแอบขโมยกินไก่ของชาวนา น่ารักอะไรเช่นนี้!
หลังเล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ พลันเอนตัวนอนลงพื้นหญ้าด้านหลัง สองมือหนุนใต้ท้ายทอย ดวงตามองไปยังยอดไม้
เห็นเพียงต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีต้นนี้ กิ่งก้านสลับกันไปมา ใบไม้ดกงอกงาม เชียวชอุ่ม บดบังแสงแดดอันร้อนแรงด้านนอกเอาไว้ มีเพียงแสงระยิบระยับหลากหลาย สาดลงมาอย่างอ่อนโยนและงดงาม!
สามลมพัดโชยมา จนต้นไม้ไหวเอน ใบไม้ก็ส่งเสียง ‘ซ่าซ่าซ่า’ออกมา ทำให้เล่อเหยาเหยาอดง่วงงุน คล้ายกับถูกสะกดจิตไม่ได้
ดวงตางามประเดี๋ยวปิดประเดี๋ยวเปิด ทว่า สุดท้ายเล่อเหยาเหยายังต้านทานความง่วงงุนไม่ไหว ไม่นานพลันหลับสนิทไป
ดังนั้น เธอจึงไม่รู้ว่าตงฟางไป๋ที่เดิมทีแช่เท้าอยู่ข้างกายเธอ คล้ายรู้สึกถึงบางอย่าง จึงหันมาเอ่ยอย่างประหลาดใจกับเธอว่า
“น้องเหยา เท้าของเจ้าเล็กมาก เอ่อ น้องเหยา เจ้าหลับแล้วหรือ!”
เมื่อเห็นใบหน้าหลับฝันหวานของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นคนตัวเล็กบนพื้นหญ้า แววตาอดตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้
เห็นเพียงคนตัวเล็กนอนหลับอยู่บนพื้นหญ้า ผิวนุ่มชุ่มชื้น หน้าผากขาวดุจหิมะ ราวกับผิวเด็ก ช่างทำให้คนตกใจเสียจริง
ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือนั้น มีอวัยวะทั้งห้าที่ประณีต ราวสร้างมาจากหยกแกะสลัก
คิ้วเข้มโค้งงอดุจภูเขาไกลโพ้น ขนตาเรียวยาวนั้น ทั้งหนาและแน่น ยามกระพริบเล็กน้อย งดงามดุจผีเสื้อสีดำกระพือปีก
ยังมีจมูกโด่งดุจหยกขาว ที่น่ารักและงามสง่า
สุดท้ายสายตาตกอยู่ที่ริมฝีปากแดง ทำให้ตงฟางไป๋สั่นไหวในใจ
ริมฝีปากนี้ ต้องเป็นริมฝีปากที่น่ามองที่สุดตั้งแต่เขาเห็นมาแน่!
ริมฝีปากเด่นชัดสง่าสมบูรณ์แบบ ประณีตขนาดเล็ก อมชมพูชุ่มชื้น คล้ายดอกบัวแฝงกลิ่นหอมจางๆ
“น้องเหยา ช่างหน้าตางดงามเสียจริง!”
แววตาตงฟางไป๋ปรากฏความหลงใลและตกตะลึงขึ้น
เพราะคนตรงหน้า ผิวขาวดุจหิมะ เครื่องหน้าประณีต เมื่อนอนอยู่บนพื้นหญ้าเชียวชอุ่ม ทำให้ ‘เขา’ดูคล้ายเทพเซียนที่แอบลงมาที่โลกมนุษย์
เมื่อมองเครื่องหน้าที่ประณีตของคนตัวเล็กนั้น สุดท้ายสายตาของตงฟางไป๋ตกไปมองเท้าเล็กที่แช่อยู่ในน้ำคู่นั้นของคนตัวเล็กนี้
ก่อนก้มเข้าไป มองเท้าเล็กขาวนวลที่แช่อยู่ในน้ำ
เห็นเพียงเท้าคู่นี้ เล็กขาวนวล ดุจหยกไขมันแพะ และมือข้างเดียวสามารถเกาะกุมมันไว้ได้
เห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋ดวงตาเป็นประกาย พลันยื่นเท้าของตนเข้าไปข้างเท้าเล็กของเล่อเหยาเหยา ก่อนจะเปรียบเทียบไม่หยุด
นัยน์ตาดำขลับ ก็ปรากฎความสงสัยและขบคิด
“เท้าเล็กยิ่งนัก คล้ายกับเป็นเท้าของหญิงสาว”
…
ครั้งนี้เล่อเหยาเหยาหลับไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน
หลับสนิทไร้ความฝัน เล่อเหยาเหยาหลังตื่นนอน พลันรู้สึกทั่วร่างโล่งสบาย คล้ายแบตเตอรี่ที่ได้รับการชาร์จพลังงาน
อดกางมือ บิดเอวอย่างขี้เกียจตามความเคยชินไม่ได้
“อืม หลับสบายจริงๆ”
เล่อเหยาเหยาร้องขึ้นอย่างพอใจ คำพูดที่เอ่ยออกมายังดูแหบแห้ง ฟังแล้วคล้ายแมวน้อยที่เพิ่งตื่นนอน!
ขณะเล่อเหยาเหยาบิดเอวอย่างเกียจ พลันได้ยินเสียงงัวเงียขึ้นมา
“น้องเหยา ตื่นแล้วหรือ”
“เอ่อ พี่ไป๋ ท่านยังอยู่อีกหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงจากด้านข้าง ทำให้เล่อเหยาเหยาที่ยังงัวเงียหลายส่วน ตกใจชั่วขณะ พลันดวงตาเบิกกว้าง มองไปยังชายหนุ่มด้านข้าง
เห็นเพียง ตงฟางไป๋นอนอยู่ข้างตน ห่างจากตนไม่ถึงคืบ
ใกล้มาก จนเธอสามารถได้กลิ่นยาจางๆ บนตัวเขาได้
นั่นคือกลิ่นยาที่หอมมากประเภทหนึ่ง และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจเพราะบนตัวเขามีกลิ่นยาที่ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้นจึงทำให้เขาสมบูรณ์แบบดุจเทพเซียนที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ จึงน่าคบหาเช่นนี้ ทำให้คนอดอยากเข้าใกล้ไม่ได้
เมื่อเห็นตงฟางไป๋ด้านข้าง เล่อเหยาเหยาจึงรู้ว่า เมื่อครู่ตนค่อยๆ หลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมองท้องฟ้า เห็นชัดว่าพระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว
เห็นเพียงท้องฟ้าทางตะวันตก เมฆลอยคล้อยต่ำ แสงอาทิตย์ยามเย็น ไม่ลอยเด่นเรืองรองดังเช่นตอนเที่ยง ที่แผดเผาอุณภูมิร้อนแรง
เวลานี้ พระอาทิตย์ตกดิน แสงสีส้มทอประกาย สาดส่องเต็มท้องฟ้าด้านตะวันตก ราวกับผ้าไหมสีสันงดงาม
แสงสีทองนั้น ทะลุผ่านเมฆ ลงมาบนผิวน้ำในทะเลสาบ ทำให้ผิวน้ำแวววาว ภูเขาสลับทับซ้อนอยู่ไกล ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น งดงามยิ่งใหญ่ ราวกับภาพสีน้ำที่เคลื่อนที่ได้
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากอดเผยอขึ้น อดร้องตะโกนกลอนบทหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
“ทิวทัศน์ยามเย็นงดงามเหลือคณา น่าเสียดายที่ใกล้เวลาพลบค่ำ”
“เยี่ยม!ทิวทัศน์ยามเย็นงดงามเหลือคณา น่าเสียดายที่ใกล้เวลาพลบค่ำ คิดไม่ถึงน้องเหยาอายุยังน้อย แต่กลับเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้าง อดร้องอย่างประหลาดใจไม่ได้
สายตาที่มองเล่อเหยาเหยา แฝงด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
แม้เขาจะรู้จักคนตัวเล็กตรงหน้าได้ไม่นาน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขามักรับรู้ถึงความเฉลียวฉลาด และพลังที่ออกมาจากคนตัวเล็กข้างกายนี้
‘เขา’ เพราะครอบครัวฐานะยากจน จำเป็นต้องกลายมาเป็นขันที แต่ปัญญาของเขา กระทั่งตัวเขาเองต้องประหลาดใจไม่หยุด
เมื่อได้ยินเสียงอุทานของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยากลับหน้าแดงอย่างละอายใจ
เพราะเธอรู้ว่าตงฟางไป๋เข้าใจผิดว่า บทกลอนเมื่อครู่นั้นตนเป็นคนแต่งขึ้น กำลังจะอธิบาย ทว่าตงฟางไป๋ข้างกายกลับลุกยืนขึ้น
ก่อนจะยื่นมือตบบนเสื้อผ้าที่หยุ่งเหยิงอย่างสง่างาม แล้วเอ่ยกับเธออย่างอ่อนโยนว่า
“น้องเหยา มืดแล้ว เรากลับกันเถอะ!”
“เอ่อ ขอรับ”
หลังได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาพลันได้สติลุกขึ้นจากพื้นหญ้า
จากนั้นก็ปัดเศษหญ้าที่ติดตามร่างกาย สวมรองเท้า ก่อนยิ้มให้ตงฟางไป๋
“เอาล่ะ พี่ไป๋ พวกเราไปกันเถิด”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ คิดเดินหน้าไป คิดไม่ถึง กลับถูกตงฟางไป๋ข้างกายรั้งตัวไว้
“น้องเหยา รอก่อน”
น้ำเสียงตงฟางไป๋ แฝงด้วยความอ่อนโยนเจ็ดส่วน แหบพร่าสามส่วน ใต้แสงอาทิตย์ตกดินอันงดงาม ดุจเหล้าชั้นดีที่หมักไว้นานปีถูกเปิดขึ้น ทำให้คนฟังมัวเมาลุ่มหลง
“เอ่อ”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตกใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มตะลึงชั่วขณะ พลันกระพริบตาอย่างสงสัย ก่อนหันไปมองตงฟางไป๋
เห็นเพียงชายหนุ่มข้างกาย รูปร่างสูงยิ่ง
ดูจากสายตาน่าจะประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ทำให้เธอที่ยืนอยู่หน้าเขา พลันเห็นชัดถึงความเล็กบอบบางของตน เธอสูงเพียงหน้าอกของเขา หากจะมองหน้าเขา ยังต้องเงยหน้ามองขึ้นไป
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น แต่เล่อเหยาเหยายังถูกทำให้ตกตะลึงอีกรอบ
โดยเฉพาะสายตาชายหนุ่มที่มองมาเวลานี้ ไม่รู้เพราะใกล้อาทิตย์ตกดินหรือไม่ จึงทำให้ดวงตาเขาดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน มีเสน่ห์ และชวนหลงใหลเช่นนี้
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาตาเป็นประกาย โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มค่อยๆ โน้มตัวลงมาหาตน
เล่อเหยาเหยาตกใจชั่วขณะ
เขาอยากทำอันใดกันแน่!
………………………………